สถาพร ศรีสัจจัง เราจะเรียกคนประเภท “พวกกินไม่รู้อิ่ม” ว่าอะไรดี? ในไตรภูมิพระร่วงหรือ “เตภูมิกถา” วรรณคดีไทยชิ้นสำคัญและเป็นเสมือน “มหาคัมภีร์” ในเรื่องที่เกี่ยวกับ “จักรวาลวิทยา” ของภูมิปัญญาไทย ดูเหมือนจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “เปรต” พวกหนึ่งในบรรดาหลายพวก ฟังว่าสัตว์นรกพวกนี้เกิดและพัฒนาเผ่าพันธุ์ขึ้นหลังจากที่สายพันธุ์มนุษย์แต่เดิมเริ่มเรียนรู้จักและเริ่มเกิดสำนึกถือครองขึ้นในจิตใจ หรือที่ภาษาของท่านพุทธทาสแห่ง “โมกขพลาราม” เรียกว่า “ตัวกูของกู” นั่นแหละ! เป็นสิ่งเดียวกับที่นักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกส่วนใหญ่เรียกว่า “ทรัพย์สินเอกชน” (จะให้ชัดแบบฝรั่งอังกฤษก็ต้องทับศัพท์ว่า “private property” นั่นแหละ) เกี่ยวกับเรื่องการก่อเกิดขึ้นของ “รูปการจิตสำนึก” ที่เรียกว่า “ทรัพย์สินเอกชน” (Private property)นั้น แม้ภายหลังจะมีบรรดานัก “วิธีวิทยา” ทางเศรษฐศาสตร์ชาวตะวันตก ทั้งสาย “ว่าด้วยความขัดแย้ง”(Theory of conflict) และ สาย “โครงสร้างนิยม” (Structuralism)ที่พัฒนาอย่างกว้างขวางมาเป็นอะไรอีกมากมาย เช่น “หลังสมัยใหม่” หรือ “Post modern” หรือสำนักย่อยในชื่อต่างๆอีกหลากหลาย ในชั้นหลังจะเขียนอรรถาธิบายกันไว้มากมายอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าใครสนใจที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่าง “ถึงราก” จริงๆ น่าจะต้องกลับไปอ่านหนังสือเล่มสำคัญที่เป็น “ต้นแบบ”ตัวจริงของเรื่องนี้เล่มหนึ่ง ที่เขียนโดยนักคิดสกุล “มนุษยนิยม” (Humanism) คนสำคัญ คือ ดร.คาร์ล มาร์กซ์ กับ เฟรเดอริค เองเกลส์ หนังสือเล่มนั้นชื่อ “ The Origin of the family,Private property and state” อันที่จริงเนื้อหาของเรื่องราวจากหนังสือเล่มสำคัญทางแนวคิดทฤษฎีนี้ มีนักคิดนักเขียนนักปราชญ์ไทยรุ่นก่อนหลายท่านได้พยายาม “ทำเป็นภาษาไทย” ไว้ให้อ่านแล้วหลายสำนวนด้วยกัน ที่พอจำได้ก็เช่น ท่านกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรื “ศรีบูรพา” แม่ทัพใหญ่แห่งวงวรรณกรรมสมัยใหม่ของไทยท่านนั้นเป็นต้น แต่หลังสือชุดดังกล่าว (ดูเหมือนจะต่อกันเป็น 2-3 เล่ม)จะมีชื่อเรื่องชื่อตอนอย่างไรบ้าง ตอนนี้ยังนึกไม่ทัน ลองไปตามหากันเอาเองก็แล้วกัน หลังจากเกิดรูปการจิตสำนึก “ทรัพย์สินเอกชน” ขึ้นในหมู่มนุษย์แล้วนี่เอง ที่ “ความเห็นแก่ตัว” “ความโลภ” และ “การแข่งขันเพื่อเอาชนะในการสั่งสม” ก็ค่อยๆกลายเป็นเหมือนโรคระบาดใหญ่ หว่านมลพิษแห่งความรุนแรงฉ้อฉลชั่วร้ายลงในจิตใจหมู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ให้เร่งมีเร่งเกิด “ตัวกูของกู” หนาหนักขึ้นอย่างกว้างขวางรวดเร็วและคล้ายไม่มีจุดจบ! ทั้ง “เมียกูผัวกูลูกกูญาติกูเพื่อนกูพวกกูกลุ่มกูชาติกูเผ่าพันธุ์กูประเทศกู” (มีน้อยมากที่พัฒนาไปคิดถึงสิ่งที่เรียกว่า “โลกกูหรือจักรวาลกู”!) แผ่ความร้อนลามไปทั่ว เหมือน “ประกายไฟไหม้ลามทุ่ง” แดงฉานเป็นเปลวเพลิงแรงร้อนไปทุกหย่อมหญ้า! แล้วระบบ “ใครมือยาวสาวได้สาวเอา” ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นจนกลายเป็นกระแสหลัก กลายเป็นรูปแบบ “ความสัมพันธ์ทางการผลิต” ที่ได้รับการกล่าวขานกันในนาม “ระบบทุนนิยม” (Capitalism) มี “คำหลัก” หรือ “คำสำคัญ” (Keyword) ในการนิยามหรืออธิบายถึงคุณค่าเนื้อในของระบบนี้มาจากรากของภาษาฝรั่งอังกฤษเพียงคำเดียวคือ “เสรีนิยม”(Liberalism)! ซึ่งนับเป็น “ความเท็จ” (False fact) ที่ก่อขึ้นมาแต่เบื้องต้น ทำนองทำให้มนุษยชาติเกิดความเชื่อว่า “ในโลกหรือในจักรวาลนี้มีความเสรีแบบไม่มีเงื่อนไขอยู่จริง” (ภายหลังมีการสร้างกรอบแนวคิดที่เรียกกันว่า “ปรัชญา” หลากหลายชื่อเรียกหลากหลายชนิดออกมาเป็น “เครื่องมือ” (Tool) เพื่อช่วยอรรถาธิบายตอกย้ำยัดความเชื่อดังกล่าวลงสู่สมองมนุษย์อย่างเป็นระบบและอย่างเป็นด้านหลัก) พังทลายคติความเชื่อเกี่ยวกับระบบจริยธรรม คุณธรรมทุกสายสกุลของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติที่มีมาแต่เดิมลงอย่างสิ้นเชิง(ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม) ลัทธิคิดที่เป็นกระแสครอบงำโลกอยู่ในปัจจุบันที่เรียกว่า “ระบบทุนนิยมเสรี” (Liberal capitalism) ดังว่านี้เอง คือ “เครื่องมือ” ในการ “ปรุง” กิเลสของมนุษยชาติให้โลดเถลิงเริงร้อน ก่อเกิดหายนะแก่โลกแก่จักรวาลและมนุษยชาติเอง...มากขึ้นๆๆๆทุกวันๆๆๆๆๆ