ขณะที่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ต่างเดินหน้า ทำงานแข่งกันอย่างคึกคัก ทั้ง “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒา” แต่ปรากฎว่า บัดนี้ “พรรคพลังประชารัฐ” กำลังอยู่ในสภาพที่ต้องเรียกว่า “ติดหล่ม”
ทั้งปัญหาภายในและภายนอก ต่างรุมเร้า “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยที่ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นไปนั่ง “หัวหน้าพรรค” ตามกระแสข่าวที่โหมกันมาพักใหญ่ก่อนหน้านี้
พรรคภูมิใจไทย คือพรรคการเมืองที่ “ทำตามสัญญา” ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงเอาไว้มากที่สุด และโดนใจประชาชนมากที่สุด จากข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นประชาชน โดย ซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่อง กัญชาทางการแพทย์ และการยกระดับ อสม.
ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาธิปัตย์เอง ยังคงเร่งฝีเท้าในการเดินหน้าผลักดันนโยบายของพรรค แม้จะต้องเจอกับปัญหาในแต่ละกระทรวงที่กำกับดูแลอยู่บ้างก็ตาม
แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐเองที่ยังดูเหมือนว่ากำลังรับมือกับศึกรอบด้าน เมื่อ “5พรรคเล็ก” นำโดย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ออกโรงประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล โดยล่าสุดนัดหมายสื่อแถลงข่าวในวันอังคารที่ 13 ส.ค.นี้ โดยจะขอเปลี่ยนข้างไปเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ”
แม้ในความเป็นจริงแล้ว การเคลื่อนไหวของมงคลกิตติ์ อาจเป็น “กระแส” ที่ถูกจุดขึ้นมาอย่างถูกจังหวะก็ตาม แต่ใช่ว่า “แกนนำ” ของพลังประชารัฐเองจะหวั่นไหวไปกับการเสียงที่ดังออกมาจากพรรคไทยศรีวิไลย์ จนถึงขั้น “อกสั่นขวัญหาย”
เพราะมีรายงานว่า ดีไม่ดีพรรคของมงคลกิตติ์ อาจจะถูก “ลอยแพ” เพียงพรรคเดียว เพื่อลดทุกความวุ่นวาย ถูกโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว !
การเป็นพรรคใหญ่ แต่กลับถูกกดดันและข่มขู่จากพรรคเล็ก จนเกิดเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบาง ในสถานะ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” เช่นนี้ อาจเป็นอยู่ได้อีกไม่นาน เนื่องจาก “ผู้จัดการรัฐบาล” ตลอดจน “แกนนำ”ของพลังประชารัฐ เตรีวมเปิดปฏิบัติการ “สอยส.ส.” เพื่อรองรับการลงมติร่างกฎหมายการเงินฉบับสำคัญ คือ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ เอาไว้แล้ว
ทั้งการหมายตา พรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ หากมีอันต้องถูกยุบพรรคขึ้นมาจริง !
อย่าลืมว่า การดำรงตนเป็นฝ่ายค้าน ย่อมมีแต่เสียเปรียบ มากกว่าการได้รับเทียบเชิญให้เข้าไปอยู่ในรัฐบาล เป็นไหนๆ
และสำหรับปัญหาที่ว่าด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของพล.อ.ประยุทธ์ และครม.ที่ฝ่ายค้านรวมพลังใช้ทั้งวิธีการกดดัน จี้ เร่งเร้าให้ ผู้นำรัฐบาลต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเร็ว ทั้งการทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วทำการถวายสัตย์ฯกันใหม่ให้ถูกต้องครบถ้วน ไปจนถึงการแสดงความรับผิดชอบด้วยการ “ลาออก” ทั้งตัวพล.อ.ประยุทธ์ และครม.ทั้งคณะ
ทว่า แรงกดดันจากฝ่ายค้านที่คาดหวังจะได้เห็นปรากฎการณ์อย่างหลัง คือการลาออกของพล.อ.ประยุทธ์และครม.ทั้งคณะ ดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะทางออกสำหรับเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีทางเลือกทั้งการรอฟังคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ เป็น “คำตอบสุดท้าย” !