สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนเขม็งเกลียวขึ้นอีกครั้ง เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนหรือเหรินเหมินปี้ของจีนอ่อนค่าลงมากสุดเป็นประวัติการณ์ โดยต่ำสุดในรอบ 9 ปี ลดลงต่ำกว่าแนวต้านเชิงจิตวิทยาซึ่งตลาดเงินโลกคาดการณ์เอาไว้ที่ 7.0 หยวนต่อดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 7.1085 หยวนต่อดอลลาร์ ในทันทีที่เปิดตลาดซื้อขายเมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา การอ่อนค่าลงของเงินหยวนเกิดขึ้น หลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศเตรียมขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากจีนอีก 300,000 ล้านดอลลาร์ ยกระดับสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาขึ้นมาครอบคลุมปริมาณสินค้าที่ซื้อขายระหว่างกันทั้งหมด ทำให้ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาททวีตข้อความกล่าวหาว่า จีนเจตนาปั่นค่าเงิน ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าจีนมีพฤติกรรมที่เป็นการปั่นค่าเงิน และจะมีการทำงานร่วมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟเพื่อขจัดการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อไป โดยการกระทำของจีนถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลง ที่ว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงตลาดด้วยการลดค่าเงินเพื่อหวังผลด้านการแข่งขันทางการค้า แต่ก็ยังคาดหวังว่า จีนจะยึดมั่นในคำมั่นสัญญา และไม่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือในการแข่งขัน อีกทั้งยังระบุว่า จีนมีประวัติเรื่องการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราด้วยการปล่อยให้เงินหยวนมีมูลค่าต่ำเกินจริง และรักษาเม็ดเงินจำนวนมากในระบบทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ แม้ว่าจีนจะปฏิเสธไม่เคยปั่นค่าเงินก็ตาม กระนั้น นักวิเคราะห์มองว่า เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลืออีก 300,000 ล้านดอลลาร์ในอัตราร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้ นักวิเคราะห์ต่างคาดว่า ธนาคารกลางจีนจะมีการออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินออกมาอีกเพื่อสนับสนุนหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้จีนยังเตรียมยุติการจัดเก็บภาษีอากรทั้งหมดในเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ รวมทั้งผ่อนคลายกฎระเบียบภายในปีนี้ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ของจีน มีการประชุมเรื่องนี้ในระหว่างการเดินทางไปเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนกรกฎาคม ทางด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์แสดงความเห็นในเพจเฟซบุ๊ก มองว่าการปรับค่าเงินครั้งนี้ ทำให้สินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐแพงขึ้น หมายความว่า สินค้าภาคการเกษตรส่งออกของสหรัฐ ที่จีนเคยตกลงไว้ว่าจะนำเข้ามากขึ้น ปริมาณนำเข้าจะปรับตัวลดลงในทันที ในทางกลับกัน การลดค่าเงินหยวนให้อ่อนลง ยังเป็นการช่วยธุรกิจส่งออกของจีนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนลงเมื่อเทียบกับไทยเช่นกัน นั่นก็หมายความว่า การมาเที่ยวเมืองไทยของคนจีนจะแพงขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะมีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทย แน่นอนว่า จะเป็นการบ้านของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่จะต้องรับมือ ประเมินผลกระทบในระยะต่างๆ และไม่เพียงแต่ในภาคของการท่องเที่ยวเพียงเท่านั้น ภาคการส่งออกก็ต้องรับมือเช่นกัน ในสถานการณ์ที่ช้างสารชนกันหญ้าแพรกย่อมแหลกราญไปด้วย