สถาพร ศรีสัจจัง
การปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมในยุคที่ระบบทุนนิยมแห่งโลกสามารถยึดกุมกลไกเชิงอำนาจทั้งหมดไว้ได้เรียบร้อยแล้วนั้น สะท้อนให้เห็นภาพความล่มสลายเชิง “อิสรภาพทางวัฒนธรรม” ที่ชัดเจนยิ่ง และชี้ว่านี่ไม่ใช่การ “บูรณาการทางวัฒนธรรม” (Cultural integration) ที่จะนำสังคมเล็กๆอย่างสังคมไทย ให้สามารถเปลี่ยนผ่านจากโลกยุคโลกาภิวัตน์ไปสู่สังที่มีอัตลักษณ์และความสุข หรือสังคมที่มีความยั่งยืนอันเกิดจากการรู้จักพอเพียงอย่างที่ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 9 ทรงเคยตั้งหวังและฝากฝังความตั้งหวังนั้นไว้กับชาวไทยทั้งปวง
นั่นคือภาพของความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในทุกๆด้านระหว่างกลุ่มคนในสังคมไทยและสังคมโลก !
ขณะที่ “ทุนจักรพรรดินิยม” (ทุนผูกขาดข้ามชาติ) กับกลุ่มคนรวยจัดที่เป็นกลุ่มเล็กกระจ้อยร่อยของสังคม(อาจไม่ถึงร้อยละ 1) สามารถดูด “มูลค่าส่วนเกิน” ของคนทั้งสังคมไปสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง โดยคล้ายได้รับความสมยอมอย่างไม่มีทางเลือก(ในฐานะของผู้ถูกกระทำ) ของประชามหาชนส่วนใหญ่
ความคิดในการพัฒนาไปสู่การผูกขาดโลกของกลุ่มทุนจักรพรรดินิยมยุคใหม่ชุดดังกล่าว มีแก่นกลางอยู่ที่คำหลัก (Keyword)คือ “ความทันสมัย” โดยการใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มี “โปรแกรม” ให้มหาชนเกิดรสนิยมการเป็น “ผู้บริโภคสินค้า” ที่ระบบทุนนิยมผลิตขึ้นอย่างไม่เคยรู้หยุดหย่อน (ไม่เคยหยุดการคิดเพื่อพัฒนาเทคนิคในการผลิต รวมถึงระบบตลาดและการขาย)โดยใช้วัตถุดิบแทบทุกประการที่เกิดธรรมชาติ ซึ่งน่าจะเป็นทรัพย์สินของมนุษยชาติร่วมกัน ผ่านทางกระบวนการเครื่องมือที่ถูกคิดขึ้นจากการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมทุกประเภท(รวมถึงอุตสาหกรรมแบบใหม่ๆ เช่น “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” เป็นต้น)
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ช่วยคุ้มครองผลประโยชน์ของระบบทุนนิยมผูกขาดที่สำคัญที่สุดก็คือแก่นแกนของกฎที่พวกเขาเรียกว่า “สิทธิหรือกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล (Private property) อันศักดิ์สิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งจะล่วงละเมิดมิได้”
โดยความสามารถกุมกลไกของระบบการผลิตและระบบการตลาดไว้ได้ทั้งหมด(ซึ่งก็คือโครงสร้างฐานรากของสังคมโลก) พวกเขาจึงสามารถใช้เครื่องมือที่อยู่ในอำนาจของตนผลิตรูปแบบของโครงสร้างชั้นบนของสังคมโลกทั้งหมดขึ้น
สิ่งแรกก็คือการผลิตระบบการเมืองที่เอื้อรับกับการใช้อำนาจทางสังคมด้านต่างๆ เพื่อผลิต “วัฒนธรรม” ทั้งปวงขึ้น ให้ประชามหาชนซึ่งกลายเป็นเพียง “ผู้สนับสนุนระบบการผลลิตและการบริโภค” อย่างไม่มีพลังต่อรองและทางเลือกไปแล้ว เกิดความรู้สึกเห็นชอบ ยอมรับ ยินดีปรีดา และคล้อยตามรสนิยมทาง “สินค้า” ที่ระบบทุน “โปรแกรม” ขึ้นทุกประการทุกช่องทางอย่างไม่มีทางปฏิเสธ(กระทำฝ่ายเดียว)
ด้วยเหตุปัจจัยอย่างกว้างๆที่ยกโยงมาให้เห็นแต่เบื้องต้นดังกล่าว ระบบทุนนิยมผูกขาด( Imperial capitalism) จึงเชื่อ พวกเขาจะสามารถสถาปนา “มนุษย์พันธุ์เดียว” ที่ไม่มีอัตลักษณ์ด้านระบบคิด ระบบคุณค่า ประเพณี คติธรรมและวัฒนธรรมไดๆ เป็นแบบเฉพาะเผ่าพันธุ์หรือชาติพันธุ์
หรือแม้แต่ “สิทธิอัตวินิจฉัยประชาชาติ” ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐชาติตน ก็จะถูกกดดันโดยพลังทาง “เศรษฐกิจการเมือง” ที่เหนือกว่า ผ่านการเรียกร้องในลักษณะ “ต้องเป็นสากล” สิ่งดังกล่าวจะค่อยๆเกิดขึ้นในเชิงปริมาณแล้วค่อยๆสำแดงคุณภาพผ่านทางความล่มสลายเชิงวัฒนธรรมของชาติเล็กชาติน้อยแต่ละชาติ
พวกเขาอาจเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นว่า ล้วนเป็นไปเพื่อความทันสมัยของมนุษยชาติ ภายใต้คำสโลแกนโฆษณาชวนเชื่อ “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” ทั้งๆที่ในเนื้อหาความเป็นจริง เสรีภาพที่แท้จริง ความเสมอภาคที่แท้จริง(ไม่มีความเหลื่อมล้ำของชนในชาติและโลกทุกระดับ) และความรู้สึกผูกพันธ์รักใคร่กลมเกลียวฉันท์ญาติมิตรพี่น้อง ไม่เคยเกิดและมีแนวโน้มว่าจะเกิดได้จริงแม้เพียงกระผีกริ้นในสังคมแบบทุนนิยมผูกขาดในโลกปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมโลกที่ระบบทุนนิยมกลายเป็นกระแสหลักคลุมโลกก็คือ ความทุกข์ยากที่หนาหนักขึ้นของประชาติส่วนใหญ่ในโลกอย่างเก็นๆ การอพยพย้ายถิ่นของผู้คน ความอดอยากหิวโหยและโรคระบาดใหม่ๆ สงครามและความตายของคนบริสุทธิ์ ความขัดแย้งที่ไร้แนวโน้มของการสมานฉันท์ ความเห็นแก่ตัวที่ระบาดเข้าครอบคละจิตวิญญาณจองคนทั้งโลก ความล่มสลายของสถาบันทางจริยธรรมพื้นฐาน เช่นสถาบันครอบครัว สถาบันชุมชนหมู่บ้าน ฯลฯ
ที่สำคัญยิ่งก็คือระบบที่ยึดถือ “ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ กำไรสูงสุดคือสรณะ” ของระบบทุนนิยมนั่นเองที่สร้างวัฒนธรรมการ “ทำลายโลก” อย่างแท้จริง เริ่มด้วยการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทั้ง ดิน น้ำ อากาศ ป่าไม้และสัตว์ป่า ทำลายกฎภูมินิทัศน์ตามธรรมชาติของโลก(การควบคุมแม่น้ำ การปรับเปลี่ยนสภาพภูมิศาสตร์ต่างๆ และอื่นๆ)
และท้ายสุดก็คือการทำลายกฎว่าด้วยความหลากหลายของโลกและจักรวาล ซึ่งก็คือการทำลายกฎเบื้องต้นที่ว่าด้วยลักษณะความเป็น “พหุลักษณ์” ของสิ่ง !
ภาพปรากฏดังว่านี้ ปรากฏเห็นได้อย่างชัดเจนในวิธีคิดของกลุ่มชนชั้นนำไทยในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความกระเหี้ยนกระหือรือในการใช้อำนาจรัฐเป็นพิเศษทั้งหลาย ดังที่ปรากฏให้เห็นเป็นส่วนใหญ่อยู่ในรัฐสภาปัจจุบัน
ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น และฝ่ายคด!
ดังกล่าวมานี้เอง ภาพปรากฏในเรื่อง “การกลืนกลายทางวัฒนธรรม” ที่ไม่ใช่ “การบูรณาการทางวัฒนธรรม” ที่เกิดจากหายภัยโลก “ทุนนิยมผูกขาดระดับโลกในยุคโลกาภิวัตน์” จึงเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนา แก้ไขปัญหา และปกป้องรัฐไทยรุ่นปัจจุบัน พึงต้องสำเหนียกไว้ให้จงหนัก!!!