เรียนคุณชัช เตาปูน
กองบรรณาธิการ นสพ.สยามรัฐที่นับถือ
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวความคิดเห็นของท่าน ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ให้สัมภาษณ์ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ที่ท่านบอกว่าขณะนี้รัฐบาลประกาศเดินหน้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 แนวทางการพัฒนาประเทศกำลังสู่ยุคดิจิตอล
ดังนั้นการศึกษาที่กำลังขับเคลื่อนการศึกษา 4.0 จะต้องออกแบบกา รผลิตคนให้ดี และมีความชัดเจนว่าจะเดินหน้าอย่างไร เพราะรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน และการจะไปสู่การศึกษา 4.0 ก็เป็นเรื่องจินตนาการ เพราะการศึกษาไทยเวลานี้อยู่แค่ 2.0 ยังก้าวไม่ถึง 3.0 หากจะก้าวไปสู่ 4.0 จะต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะสถาบันผลิตครูอย่างคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ จะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเป็น 2 เท่า ต้องปรับกระบวนการทางความคิด ทัศนคติ ต้องสอนให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์ ตั้งคำถามเป็น และนำไปสู่การผลิตผลงานได้
พอท่าน ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ พูดเช่นนี้ ก็ทำให้ความคิดของกระผมตกผลึกทีเดียว การศึกษาของบ้านเราควรจะคิดนอกกรอบ โดยออกจากกรอบเดิมๆ ซึ่งครูบาอาจารย์จะต้องมาจากสถาบันที่ผลิตครูอย่างคณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์เท่านั้น ทำไมหลายต่อหลายวิชาประเทศไทยเราก็มีคนเก่งเฉพาะแต่ละด้านเฉพาะ ซึ่งเวียนว่ายอยู่กับวงการอุตสาหกรรม สถาบันการเงิน แวดวงทางการค้า และทางวิชาการต่างๆ
รัฐบาลเราน่าจะนำเอาบุคลากรเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ให้แก่วงการศึกษาบ้านเราได้ กระทรวงศึกษาธิการควรจะมีการจ้างอัตรากำลังคนที่มาจากอาจารย์พิเศษเหล่านี้เฉพาะขึ้นมา เพื่อเข้ามาทำหน้าที่อาจารย์พิเศษแต่ละวิชา ซึ่งคล้ายๆกับมหาวิทยาลัย เพื่อจะได้นำความรู้ประสบการณ์จากบุคลากรเหล่านี้มาถ่ายทอดให้เด็กนักเรียนของเราได้ซึมซับความรู้และประสบการณ์ไปด้วย ซึ่งเด็กประถมยันมัธยมศึกษาควรจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆเช่นนี้ซึมซับเข้าไปในสมอง แทนที่จะอัดแน่นเพียงแต่วิชาการเท่านั้น
อีกทั้งวิธีการนี้ยังเป็นการสอดคล้องกับแนวทางของประเทศไทยที่กำลังจะเดินเข้าสู่การศึกษา 4.0 หรือดิจิตอลอีกด้วย โดยเฉพาะบุคคลเหล่านี้ถือว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวและมีประสบการณ์ในการทำงานมาอย่างดี อีกทั้งยังเข้ายุคเข้าสมัยกับการทำงานในยุคของดิจิตอลอีกด้วย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการนำเรื่องราวประสบการณ์ดีๆ มาถ่ายทอด เพียงแต่กระทรวงศึกษาธิการขอความร่วมมือบริษัทห้างร้านเอกชนต่างๆ ทั้งขนาดใหญ่ขนาดกลางและขนาดเล็กได้ช่วยคัดเลือกบุคลากรเข้ามาร่วมเป็นอาจารย์พิเศษสักอาทิตย์ 1-2 คาบๆ ละ 1 ชั่วโมง ก็น่าจะเพียงพอและเหมาะสม ซึ่งเจ้าของกิจการบริษัทห้างร้านคงจะไม่ว่ากัน เพราะถือเป็นเรื่องของการช่วยเหลือประเทศชาติ
อีกทั้งเรื่องของการเรียนการสอน แนวโน้มต่อไปคงจะเรียนรู้แต่เพียงภายในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวคงไม่พอเสียแล้ว หากจะต้องเรียนรู้จากโลกภายนอกด้วย โดยปัจจุบันสมาร์ทโฟนและเครื่องไม้เครื่องมือในการสื่อสารของประเทศไทยเราก็ไม่ได้ล้าหลังเสียทีเดียวการเรียนรู้ผ่านการสื่อสารออนไลน์หรือดิจิตอลค่อนข้างจะเปิดกว้างและสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ใช่จะยึดติดหรือคิดอยู่แต่ในกรอบของความรู้ในห้องเดียวเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้เด็กไทยเราไม่พัฒนาทางสติปัญญา มีแต่เรียนรู้หรือถนัดแต่การท่องจำตำราเรียนเพียงอย่างเดียว
โดยเฉพาะแนวโน้มและทิศทางของเด็กจบการศึกษาในอนาคตค่อนข้างจะมีความยากลำบากทีเดียวกับการหางานทำ เพราะแนวโน้มของคนว่างงานคงจะมีสูงขึ้น ไม่ว่าจะแวดวงอุตสาหกรรมหรือการค้าหรือสถาบันการเงินใดๆ ก็ตาม ภาพที่จะปรากฏก็คือ การปรับลดขนาดคนทำงานลง และหันมาใช้กลไกลการทำตลาดดิจิตอลกันมากขึ้น แน่นอนภาพที่จะปรากฏตามมาคงหนีไม่พ้นการปรับลดขนาดองค์กรของตัวเองลง และจำนวนสาขาทำการ หรือลดอัตรากำลังคนในสำนักงานออฟฟิศลงจำนวนมาก ซึ่งผลลัพธ์ท้ายสุดแล้วก็คงจะเห็นการปลดหรือลดอัตราจำนวนพนักงานลงเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น หากกระทรวงศึกษาธิการยังไม่ตกผลึกและหาทางปรับปรุงพัฒนาการศึกษาของเด็กไทยเราเพื่อให้สอดรับกับประเทศไทย 4.0 แล้วล่ะก็ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ทีเดียว เด็กๆที่จบการศึกษาออกมาแล้วจะตีบตัน และไม่รู้ว่า ตัวเองจะเดินต่อไปข้างหน้าในทิศทางไหนกันดีอย่างแน่นอน น่าเป็นห่วงจริงๆ สำหรับอนาคตทางการศึกษาไทยของบ้านเราในเวลานี้
เพราะฉะนั้น คงต้องขอฝากมุมมองและแง่คิดไว้ให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราเวลานี้ ขอได้โปรดช่วยกันคิดหาทางปรับปรุงและแก้ไขการเรียนการสอน และเนื้อหาหลักสูตรให้มันได้สอดคล้องกับประเทศไทยที่กำลังจะเข้าสู่ 4.0 กันด้วยเถิด ก่อนที่มันจะสายเกินแก้กันมากกว่านี้
ขอขอบพระคุณอย่างสูง
จาก คนกำแพงแสน
เรียนคุณผู้ใช้นามปากกา
"คนกำแพงแสน"
ขออนุญาตตอบจดหมายของคุณนะครับ
ก็คงจะเป็นมุมมองและข้อคิดเห็นที่ดีนะครับ แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่านะครับ เวลานี้ผมคาดว่า รัฐบาลและทางผู้ใหญ่ในแวดวงทางการศึกษาของบ้านเราคงจะไม่นิ่งดูดาย และเชื่ออีกว่า คงกำลังขบคิดหาทางกันอย่างหนักว่า จะพัฒนาและปฏิรูปการศึกษาไทยเราไปข้างหน้ากันอย่างไร เพื่อให้สอดรับกับแนวทางประเทศไทย 4.0 ซึ่ง ก็คงต้องติดตามและรอดูกันครับว่า ท้ายสุดแล้วจะออกมาอย่างไรกันครับ
สำหรับจดหมายของคุณฉบับนี้ ผมคงไม่ต้องออกความเห็นใดๆเพิ่มเติมอีกนะครับ เอาเป็นว่า นำมาจดหมายของคุณมาลงให้ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบและเกี่ยวข้องได้พิจารณารับฟังแง่มุมของคุณเองดีกว่าก็แล้วกันนะครับ
ด้วยรักและนับถือ
เจริญชัย อุดมพาณิชวงศ์
"ก็คงจะเป็นมุมมองและข้อคิดเห็นที่ดีนะครับ แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่านะครับ เวลานี้ผมคาดว่า รัฐบาลและทางผู้ใหญ่ในแวดวงทางการศึกษาของบ้านเราคงจะไม่นิ่งดูดาย และเชื่ออีกว่า คงกำลังขบคิดหาทางกันอย่างหนักว่า จะพัฒนาและปฏิรูปการศึกษาไทยเราไปข้างหน้ากันอย่างไร เพื่อให้สอดรับกับแนวทางประเทศไทย 4.0 ซึ่งก็คงต้องติดตามและรอดูกันครับว่าท้ายสุดแล้วจะออกมาอย่างไรกันครับ"