ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์
ตอนที่แล้ว ผู้เขียนทิ้งท้ายเรื่องราวเกี่ยวกับชาวจีนที่มาตั้งรกรากในปัตตานีที่น่าสนใจ เช่น เรื่องของชาวจีนชื่อ “หลินหยิ่นหลิน” และ “หลี่กุ้ย” ในบันทึกของญี่ปุ่นที่บอกว่า เป็นตัวแทนการค้าและการทูตของกษัตริย์ปาตานี (ปัตตานี) ติดต่อกับ โชกุนโทกุกาวะ อิเอยะสึ หรือกระทั่งการที่คนจีนมีตำแหน่งเป็น “หน่าเต๋อ” หรือ “ดาโต๊ะ” ซึ่งเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีหรือขุนนางในปัตตานีและรัฐมลายูอื่นๆ ซึ่งสะท้อนถึง “การอยู่ร่วมกัน” ของคนต่างชาติพันธุ์ ศาสนา ในพื้นที่ปลายแหลมมลายู รากความสัมพันธ์เหล่านี้ดำรงมาต่อเนื่องอย่างน่าสนใจ นับตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ กลายเป็นพลังสำคัญร่วมพัฒนาพื้นที่ทั้งเชิงสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ ร่วมกับชาวมลายูทั้งมวล
ชาวจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเงื่อนไขปัจจัยแตกต่างกันตามยุคสมัย แต่ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของการอพยพหนีภัยจากแผ่นดินเดิม มาแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า หรือตั้งใจทำการค้าขายก่อร่างสร้างชีวิตใหม่ ใช้ความชำนาญเฉพาะตนที่มี ส่วนใหญ่แล้วช่วงแรกมักมาเป็นกุลีกรรมกรรับจ้างตามเหมืองต่างๆ ทั้งฝั่งไทยและมาเลเซีย เพราะพื้นที่แถบนี้อยู่ในแนวสายแร่ดีบุกสายใหญ่ที่สุดของโลก ต่อมาเมื่อคนจีนรู้ว่าที่ใดมีแหล่งแร่ดีบุกซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากในสมัยนั้น ก็จะทำการยื่นเรื่องขออนุญาตทำเหมืองแร่ ชาวจีนจึงเป็นทั้งเจ้าของเหมือง ผู้ควบคุมดูแล กุลีจีนกรรมกร ฯลฯ ต่อเมื่อสมัยยางพารากลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของโลก ชาวจีนจึงพากันอพยพบุกเบิกมาทำสวนยางพารากันมากขึ้น ประกอบกับเมื่อนักธุรกิจชาวจีนแคะมีโอกาสรับเหมาก่อสร้างทางรถไฟสายใต้-กรุงเทพฯ (พ.ศ.2452-2467) ชาวจีนโพ้นทะเลจึงหนุนเนื่องสู่พื้นที่มากยิ่งขึ้น ทั้งจีนแคะ จีนแต้จิ๋ว หรือจีนกวางตุ้ง โดยมักอาศัยอยู่ตามสถานีรถไฟจนกลายเป็นชุมชนชาวจีนบุกเบิกรอบสถานี
“มลายูจีนอ” พื้นที่ชายแดนใต้ ที่อพยพโยกย้ายเข้ามาอยู่อาศัยในฐานะ “อาคันตุกะ” มีทั้งลักษณะที่สามารถดำรงความเป็นจีนไว้อย่างเข้มข้น หรือการค่อยๆ ปรับตัวเปลี่ยนแปลงสถานภาพให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมใหม่ หรือขั้นแต่งงานมีลูกหลานกับชาวมลายูพื้นเมืองเดิม และต่างนำภูมิปัญญาและเทคโนโลยีจีน มาใช้ในดินแดนแห่งใหม่เช่นเดียวกับชาวจีนโพ้นทะเลกลุ่มอื่น นอกจากนี้ยังค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวจนมีฐานะมั่นคง ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ในเมืองหรือชุมชนใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ ทุกวันนี้บรรดาลูกหลานทายาทรุ่นต่อๆ มา ต่างก็สามารถสานต่อธุรกิจของครอบครัว หรือไม่ก็หาแนวทางใหม่ของชีวิต รวมถึงการดำรงความสัมพันธ์ดีงามในฐานะ “มลายูจีนอ” ที่สามารถสื่อสาร “ภาษามลายูถิ่น” ได้อย่างคล่องปากสะดวกใจ
ในหนังสือ “จีนทักษิณ วิถีและพลัง” โดย อ.สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และคณะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สะท้อนภาพวิถีและพลังการสร้างบ้านแปลงเมืองไว้ว่า “เนื่องจากชาวจีนส่วนใหญ่ที่อพยพมาตั้งรกรากในภาคใต้ มีนิสัยรักทางการค้าและการจัดการ จึงมักเลือกทำเลสำหรับตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ที่เหมาะแก่การประกอบอาชีพค้าขาย มองด้วยสายตาที่กว้างไกล ว่าสถานที่ใดเหมาะที่จะเติบโตและเจริญมั่นคงในอนาคต มีปัจจัยต่างๆ เอื้อทั้งระยะแรกเริ่มและระยะยาว เช่น ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีปัจจัยเสี่ยงน้อย มีสิ่งรองรับอยู่แล้ว หรือเอื้อที่จะสร้างสิ่งใหม่ที่ให้ประโยชน์จากการจัดการคุ้มค่าและ/หรือเกินคุ้ม ความสามารถด้านการสร้างวิสัยทัศน์ และกล้าสู้กับปัจจัยเสี่ยงเพื่อริเริ่มสร้างสรรค์ตามลักษณ์นี้ คนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในภาคใต้ กล้าเสี่ยง และกล้าสู้ มากกว่าคนพื้นเพเดิม ผลจากการศึกษาพบว่า ที่ล้มลุกคลุกคลานก็มาก ที่กระทำได้สำเร็จให้เห็นวิถีและพลังในการสร้างบ้านแปลงเมืองอย่างเด่นชัดก็มี”
ความจริงแล้วทุกวันนี้ ทายาทของคนจีนโพ้นทะเลที่กลายเป็น “คนไทยเชื้อสายจีน” หรือ “มลายูจีนอ” ยังคงมีบทบาทสำคัญมากมายในพื้นที่ ทั้งในฐานะบุคคลธรรมดา นักธุรกิจ นักการเมือง ข้าราชการ หรือภาคประชาสังคม ผู้เขียนขอใช้พื้นที่นี้ยกตัวอย่างเพื่อสะท้อนภาพให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้น
พื้นที่แรก คือในเขตเมืองเบตง ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนถึงหลายครั้งในฐานะ “ต้นแบบเมืองสมานฉันท์” อ.สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และคณะ สะท้อนว่า ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ พ.ศ.2343 เบตงเคยมีสภาพเป็นป่าทึบเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ชาวจีนกลุ่มแรกที่เดินทางมาจากมณฑลกว่างซี โดยสารเรือมาขึ้นฝั่งที่ประเทศมาเลเซีย แล้วเดินทางเข้ามายังเบตงเพื่อรับจ้างหักร้างถางป่า แปลงป่าเป็นสวนยางพารา โดยมี จีนเฝ๋อเชิง แซ่เจิ้น (ฟูศักดิ์ จันทโรทัย) เป็นคนแรกที่เข้ามาตั้งรกรากทำการค้าขายจนกิจการเจริญก้าวหน้า ส่วนนอกเมืองเบตงก็มีชาวจีนเข้าจับจองบุกเบิกเป็นสวนยางพารา ทั้งจีนกวางไส (กว่างซี) จีนแคะ กวางตุ้ง แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน
“ในปี พ.ศ.2541 ในเขตเทศบาลมีประชากร 24,014 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 เป็นคนไทยเชื้อสายจีน จึงนับได้ว่า ชาวจีนเป็นกลุ่มสำคัญในการสร้างบ้านแปลงเมืองของเมืองนี้”
นอกจากนี้ นายประมุข เลขะกุล ทายาทของ นายจ๊าบ แซ่เล่ ซึ่งเป็นต้นตระกูลเลขะกุล เป็นผู้ริเริ่มใช้แพขนาดใหญ่ที่บังคับการใช้แพด้วยลวดสลิงขึ้น ณ บริเวณสะพานหงสกุลในปัจจุบัน (ที่ถนนสายยะลา-เบตง บริเวณกิโลเมตรที่ 35) จึงนับเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่มีบทบาทสำคัญในการใช้ภูมิปัญญาเชื่อมต่อการคมนาคมระหว่างตัวจังหวัดยะลา กับพื้นที่บริเวณ อ.บันนังสตา อ.ธารโต และ อ.เบตง ซึ่งมีบทบาทสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในระยะต่อมา
อีกพื้นที่หนึ่งคือ ปัตตานี-ยะลา กับความสัมพันธ์ผ่าน “ตระกูลคณานุรักษ์” ซึ่งต้นตระกูลคือ นายปุ่ย แซ่ตัน ซึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งจากรัชกาลที่ 3 ให้เป็น “หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง” ได้มาตั้งรกรากอยู่เมืองปัตตานีบริเวณ “หัวตลาดจีน” ในปัจจุบัน เป็นผู้ขอสิทธิ์สัมปทานเหมืองแร่ดีบุกในเมืองปัตตานี ยะลา และเมืองใกล้เคียงหลายแปลง หลายตำบล ทายาทของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ได้รับพระราชทานนามสกุล “ต้นธนวัฒน์” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “คณานุรักษ์” จนเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีบทบาทสำคัญร่วมสร้างบ้านสร้างเมืองปัตตานี โดยยึดหลัก “คุณภาพและคุณธรรม” สร้างผลงานดีๆ ไว้มากมายจนเป็นที่ประจักษ์
สำหรับจังหวัดนราธิวาส พื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก ติดชายแดนมาเลเซียซึ่งเดิมก็มีสภาพเป็นป่าดงดิบรกร้างว่างเปล่า ก่อนที่ นายวงศ์ ไชยสุวรรณ ผู้นำคนสำคัญในพื้นที่ จะได้อาศัยที่ดินทั้งของคนจีน คนไทย คนมุสลิม มาร่วมกันพัฒนาเมืองจนกลายเป็นต้นแบบของ “สังคมพหุลักษณ์” อีกพื้นที่หนึ่ง
ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น เป็นเพียงเศษเสี้ยวของเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ “มลายูจีนอ” ซึ่งมีสถานภาพและวิถีที่เป็นอิสระ มีแนวทาง มีอัตลักษณ์ชัดเจนในพื้นที่พิเศษ ที่สำคัญยังคงมีบทบาทสำคัญมากมายร่วมกับคนมลายู เชื้อสายหรือศาสนาอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็น “วิถีและพลัง” เปี่ยมสีสันชวนติดตามในสังคมที่ยึดโยงด้วยความหลากวัฒนธรรม ขณะที่ยังคงมีความพยายามจากใครบางคนที่จะตอกลิ่มให้เกิดความแตกแยก บาดหมาง ชิงชัง นำไปสู่การเป็นศัตรูกันโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ในร่างกายทุกคนต่างถูกหลอมรวมด้วยกันผ่านอิทธิพลและสายเลือดหลากหลายชาติพันธุ์ศาสนาจากสารพัดที่มาเนิ่นนาน