แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเพื่อสยบคลื่นใต้น้ำ และความขัดแย้งภายในพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ที่สุดก็กลายเป็นเพียงคลื่นกระทบฝั่ง เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับจากพล.อ.ประยุทธ์เอง อีกทั้งเมื่อมีกระแสข่าวออกมาในทิศทางดังกล่าว ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจไม่เป็นผลดีต่อตัวพล.อ.ประยุทธ์เอง ด้วยกลไกในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนั้นเสี่ยงที่จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเอาง่ายๆ ในขณะที่หากดำรงสถานะ ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ก็จะเป็นการเดินตามรอบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือ “ป๋าเปรมโมเดล” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็จะดำรงความเป็นกลาง และมีอิสระในการคัดเลือกรัฐมนตรี แต่แม้ไม่มีชื่อเป็นหัวหน้าพรรค แต่ด้วยนัยยะที่พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้เสนอชื่อของพล.อ.ประยุทธ์ ในบัญชีเคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็ทำให้ภาพการยึดโยงระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐนั้นตัดกันไม่ขาด และเมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในพรรค เกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล ที่ยังไม่ทันตั้งไข่ พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องออกเอกสารชี้แจงปัญหาที่เกิดขึ้นและขอโทษประชาชน โดยเอกสารดังกล่าวเป็นเรื่อง “สารจากนายกรัฐมนตรี " เพื่อชี้แจงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีเนื้อหาโดยยละเอียดระบุว่า “นายกรัฐมนตรีมีความรู้สึกไม่สบายใจ และต้องขอโทษพี่น้องประชาชนแทนพรรคพลังประชารัฐในฐานะเป็นบุคคลที่พรรคเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากในห้วงเวลานี้มีข่าวสารความขัดแย้งภายในพรรค ปรากฏตามสื่อต่างๆมากมาย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถึงแม้จะมีปัญหาอยู่บ้างในการบริหารภายในพรรค เนื่องจากเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ สมาชิกมาจากหลายกลุ่ม หลายสาขา ที่มีความมุ่งมั่นจะทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และหน้าที่บริหารในคณะรัฐมนตรีให้ดีที่สุด การบริหารบุคลากรเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือทำอย่างไร ประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลและทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้มากที่สุด โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนในฐานะรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งจะถือเป็นการเริ่มต้นปฏิรูปทางการเมืองของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อมิให้การดำเนินการทางการเมืองกลับไปเป็นปัญหาเช่นเดิมจนต้องเกิดการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ที่ทุกคนไม่ต้องการขึ้นมาอีก นายกรัฐมนตรีไม่ได้ต้องการตำหนิใครหรือสร้างความขัดแย้งใดๆ ขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ้ายค้าน ก็ต้องทำงานให้ได้ เพราะทุกคนคือคนไทย แผ่นดินไทยทุกตารางนิ้วต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม ขอบคุณครับ” หากอ่านจากข้อความในสาร แม้จะเป็นการยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นภายใน แต่ก็มีนัยเชิงรุกทางการเมือง ในการกู้ศรัทธาจากประชาชนให้มีความเชื่อมั่น โดยไม่เห็นแก่ปัญหาภายใน ที่อาจส่งผลกระทบต่อเสียงสนับสนุนรัฐบาล และชี้ไปที่ปัญหาการเมืองแบบเดิมๆ ซึ่งเป็นสิ่งประชาชนเบื่อหน่าย สารจากนายกรัฐมนตรี จึงมีพลานุภาพมากกว่าแค่ขอโทษประชาชน