กรณี นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสกำลังเป็นประเด็นร้อนที่ท้าทายรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง ในการติดตามจับกุมตัวคนร้ายผู้ก่อเหตุ และผู้บงการอยู่เบื้องหลัง รวมทั้งการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของการทำร้ายในครั้งนี้ ท่ามกลางการจับตาของทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้บรรยากาศทางการเมืองตึงเครียดขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เนื่องจากเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายนักเคลื่อนไหว โดยเฉพาะนายสิรวิชญ์นั้นไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่สองแล้ว ขณะที่นักเคลื่อนไหวรายอื่น อย่างนายเอกชัย หงส์กังวาน ก็เคยถูกทำร้ายมาแล้ว 7 ครั้งในรอบ 2 ปี และถูกเผารถอีก1คัน แต่ในเหตุที่เกิดกับนายสิรวิชญ์นั้น มีความรุนแรง ได้รับบาดเจ็บที่จมูกและตา โดยเฉพาะเลือดคั่งกดทับเส้นประสาทที่ตา ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และความเห็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนายสิรวิชญ์ได้รับทุนการศึกษาให้ไปเรียนในประเทศอินเดีย ขณะที่กรณีดังกล่าว ถูกนำไปขยายผลให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง จึงทำให้เกิดกระแสแบ่งแยกในสังคมในห้วงเวลานี้ แต่ที่น่าเศร้าคือมีบางส่วนที่รู้สึกสะใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ นายสิรวิชญ์ อันเป็นผลพวงมาจาการแตกแยกทางความคิดและแบ่ฝักฝ่าย ลุกลามไปอย่างมาก จนละเลยความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2562 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้นิ่งนอนใจกับกรณี นายสิรวิชญ์ ถูกทำร้ายร่างกายที่ผ่านมา โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้สั่งการให้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติร่วมกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จัดประชุมด่วนในวันนี้ เพื่อเร่งรัดติดตามความคืบหน้าคดีนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว โดยให้ขยายผลหากมีผู้บงการและรายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำเป็นนโยบายกับฝ่ายความมั่นคงและตำรวจว่า การใช้ความรุนแรงทางสังคม จะปล่อยให้เกิดขึ้นกับใครไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดจากกิจกรรมและความเห็นต่างทางการเมือง โดยขอให้เพิ่มความเข้มในมาตรการดูแลความปลอดภัยให้รัดกุมขึ้น ทั้งนี้ ขอให้เร่งรัดการทำงานด้วยความรอบคอบรัดกุม และแถลงความคืบหน้าผลคดีให้สังคมทราบเป็นระยะๆ เนื่องจากไม่ต้องการให้ นาย สิรวิชญ์ ตกเป็นเหยื่อทางการเมือง จากการขยายผลนำไปวิพากษ์จากฝ่ายต่างๆ โดยละเลยหลักคุณธรรมและสิทธิมนุษยชน เราขอประณามการกระทำความรุนแรงไม่ว่าจากฝ่ายใด และยืนยันว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นเป็นหน้าที่ของส.ส.ที่จะต้องไปติดตามตรวจสอบ ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลตามกระบวนการในสภาผู้แทนราษฎร ขณะเดียวกันนักการเมืองหรือพรรคการเมือง ไม่ควรปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวปลุกระดมนอกสภาฯ โดยอาจจะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกมือที่สามฉกฉวยสร้างสถานการณ์ หรือเกิดเหตุแทรกซ้อน จนทำให้สถานการณ์บานปลาย เกินกว่าจะควบคุมได้