กรณีการพูดจาปราศรัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมายาวนานข้ามปีแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็ได้เป็นประธานาธิบดีตัวจริงของสหรัฐอเมริกา และก็เริ่มปฏิบัติตามนโยบายที่เขาเคยเสนอไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นสิทธิ์อำนาจ Mandate ที่พลเมืองผู้ออกเสียงเลือกตั้งมอบให้ผู้ที่เขา “เลือก”
เป็นเรื่องปกติที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะคิดว่า สังคมอเมริกาดีที่สุดในโลก คนฝรั่งผิวเผือกดีที่สุดในโลก สหรัฐอเมริกามีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถจะต่อรองอย่างกดดันให้ประเทศอื่น ๆ ยอมตามที่สหรัฐต้องการ เพราะอเมริกาเป็นถุงเงินที่ประเทศทั้งโลกต้องพึ่งพา
ตัวอย่างการใช้เงินฟาดหัวต่อรองนั้น เคยเห็นกันแล้วเมื่อปีก่อน คราวที่รัฐสภาอังกฤษสมัยนายเดวิด คาเมรอน เป็นนายกรัฐมนตรี เปิดอภิปรายเรื่องที่โดนัลด์ ทรัมป์ พูดว่า จะไม่ออกวีว่าให้คนมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา มีชาวอังกฤษไม่พอใจมาก และเรียกร้องให้รัฐสภาอภิปรายเรื่องนี้ ซึ่งก็มีการวิจารณ์กันในรัฐสภาจริง แต่ไม่มีการลงมติอะไร ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นตอบโต้ง่าย ๆ เขาขู่ว่า ถ้ารัฐสภาอังกฤษห้ามเข้าเดินทางเข้าอังกฤษ เขาก็จะยกเลิกการลงทุนจำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36,265 บาท ในอังกฤษ เงินจำนวนนี้เป็นเพียงแค่เศษเงินจากธุรกิจส่วนตัวของทรัมป์ ที่จะไปลงทุนทำสนามกอล์ฟในอังกฤษเท่านั้น
เมื่อทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจริง ๆ แล้ว เงินที่อังกฤษจะได้จากสหรัฐจะมากกว่านั้นอีก จึงไม่แปลกอะไรที่ นางเทเรซา เมย์ ผุ้มีแนวคิดตรงข้ามกับนายเดวิด คาเมรอน จะได้เป็นผู้นำ ต่างชาติคนแรกที่ได้พบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ซึ่งข้อเรียกร้องของนายกรัฐมนตรีอังกฤาก้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติอังกฤษ คือ เรียกร้องสหรัฐอเมริกาไม่ให้ถอนการหนุนช่วยนาโต้ ทั้ง ๆ ที่อังกฤษกำลังถอนตัวจาก อียู ทั้งนี้เนื่องจากงบประมาณช่วยนาโตในส่วนที่อังกฤษจะได้รับมันก็มหาศาลนั่นเอง
หรือตัวอย่างในสหประชาชาติที่ทรัมป์ ส่ง นางนิกกี เฮย์ อดีตผุ้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนาไปเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) คนใหม่ ซึ่งหลังจากรายงานตัวอย่างเป้นทางการแล้ว ก็ประกาสอย่างแข็งกร้าวทันทีว่า
ประเทศใดก็ตามที่ไม่ให้การสนับสนุนต่อสหรัฐและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องเผชิญกับมาตรการตอบโต้จากสหรัฐ
สหรัฐอเมริกาไม่จำเป็นต้องเกรงใจองค์การสหประชาชาติ เพราะในโลกนี้มีเพียงสองประเทศที่ช่วยจ่ายเงินให้สหประชาชาติมากกว่าสิบเปอร์เซนต์ของงบประมาณ ยูเอ็น คือสหรัฐจ่ายเงินสนับสนุนสหประชาชาติมากที่สุด คือจ่ายถึงประมาณ 22 % และญี่ปุ่นจ่ายประมาณ 17 % ของงบประมาณสหประชาชาติ ในขณะที่จีนจ่ายไม่ถึง 3 %
ต่อกรณีที่ทรัมป์ จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญานาฟต้า การค้าเสรีอเมริกาเหนือนั้น ทรัมป์ก็ มีไพ่ข่ม เม็กซิโกและแคนาดา เพราะเศรษฐกิจทั้งแคนาดาและเม็กซิโกต้องพึ่งพาการส่งสินค้าออกไปขายให้อเมริกา ถ้าทรัมป์ใช้มาตรการกีดกันทางการค้า สกัดกั้นสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา เศรษฐกิจสองประเทศนี้ก็จะเกิดปัญหาทันที
ส่วนคำสั่งงดวีซ่าคนประเทศมุสลิมเจ็ดประเทศเดินทางเข้าสหรัฐ อเมริกันชนส่วนใหญ่ก็อาจจะชื่นชอบด้วยซ้ำ เพราะไม่กระทบกระเทือนเศรษฐกิจปากท้องใกล้ตัวชาวบ้านอเมริกัน
ยุทธวิธีของทรัมป์ที่ใช้ไพ่เหนือกว่าในการต่อรองเพื่อกดดันประเทศยุโรป , อเมริกาเหนือ-ใต้ , ญี่ปุ่น , เกาหลี นั้น ดูจะมีน้ำหนักอยู่ แต่ทั้งนี้ยกเว้นกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเคยถูกทั่วโลกปิดล้อมโดดเดี่ยวมาถึงสามสิบปี
ทั้งสงครามปากและสงครามการค้าแบบทรัมป์นั้น น่าจะไม่ได้ผลกับจีน