ข้าราชการไทย(ทุกสังกัด)ล้วนมีพื้นฐานทางการศึกษาที่ขัดเจน(เป็นส่วนใหญ่)ว่าล้วนเรียนจบมาในสาขาที่สอดคล้องกับการงานหน้าที่ของตน เช่นคนที่เป็นข้าราชครูก็ต้องเรียนเรื่องราวที่เกี่ยวการเรียนการสอน เรื่องจิตวิทยาเด็ก หรือเรื่องการบริหารโรงเรียน ฯลฯมา ส่วนคนที่เป็นข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย(สายตรง)ก็ย่อมต้องเรียนมาทางรัฐศาสตร์หรือนิติศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์สำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการปกครอง อันหมายถึงการช่วยบำรุงสุขและบำบัดทุกข์ให้กับประชาชน อย่างนี้เป็นต้น แต่ตอนนี้เราจะพูดเพียงเรื่องเดียว คือเรื่องข้าราชการ(สายตรง)สังกัดกระทรวงศึกษาธิการซึ่งมีหน้าหลักคือการสอนและการบริการโรงเรียนระดับต่างๆ! โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาที่ผู้บริหารกระทรวงยุคนี้กำลังโฟกัสเอามาเป็นหนูตะเภาลองยาในโครงการสุดหรูที่ชื่อ"โครงการโรงเรียน ไอ.ซี.ยู."(การแก้ไขปัญหาโรงเรียนที่กำลังอยู่ในอาการ'โคม่า' คือกำลังจะตายแหล่มิตายแหล่ เพราะผลิตผล คือเด็กนักเรียนในโรงเรียนไม่มีคุณภาพผ่านเกณฑ์ประเมินตามตัวชี้วัดสากล) ข้อดีของโครงการนี้ ดูเหมือนจะอยู่ที่การเริ่มต้นให้โรงเรียนนั้นๆ'ประเมินตัวเอง' ว่าโรงเรียนของตนตกอยู่ในภาวะวิกฤติที่จำเป็นต้องเข้าห้องบริบาลพิเศษคนป่วยหนัก หรือ"ห้องไอ.ซี.ยู."หรือเปล่า? ส่วนขั้นตอนและรายละเอียดที่มากกว่านี้ ใครที่อยากรู้ก็คลิ้กหรือไปสอบถามกระทรวงศึกษาธิการยุคที่มีอดีตหมอกับอดีตนักปกครองเชื้อเจ้าชาวมหาดไทยเป็นผู้บริหารสูงสุดดูเอาเองก็แล้วกัน แต่เนื่องจากเชื่อว่า เรื่องการแก้ไขปัญหา"ระบบการศึกษา" ที่ใครๆทั้งในและนอกประเทศล้วนเชื่อว่าเป็นที่มาของปัญหาทั้งหลายทั้งปวงของประเทศไทยปัจจุบัน-โดยเฉพาะปัญหาหลักที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ-การเมืองที่ตกอยู่ในอาการ'ร่อแร่ปางตาย'นั้น เป็นเรื่องของชาวไทยทุกคน เพราะไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ในฐานะของพ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ลูกเหลนหลานว่านเครือ ทุกคนล้วนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงเข้าทำนอง'เพราะทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา จึงต้องเป็นผู้มีส่วนในการร่วมรับรู้และแก้-ปัญหาด้วย' เมื่อเรื่องนี้ถูกนำขึ้นอภิปรายในวงสภากาแฟของชาวบ้านบางวงในพื้นที่ภาคใต้ จึงได้รับความสนใจอย่างกว้าง บางใครที่เป็นสมาชิกของสภานั้น ที่ได้ชื่อจากชาวสภาฯว่า เป็นนักคิด-นักวิเคราะห์ผู้เฉียบคมเสมอมาในปัญหาเกี่ยวกับบ้านเมือง จึงวิเคราะห์และนำเสนอแบบเฉียบขาด(เพราะคมกริบ)ขึ้น อาจสรุปเนื้อหาข้อเสนอและข้อคิดได้โดยสรุปในทำนองว่า ที่โรงเรียนทั้งหลายต้องวิกฤติ ต้องตกอยู่ในอาการเหมือนคนปางตายจนต้องเข้าห้องไอ.ซี.ยู.(ก่อนเข้าห้องดับจิต)ก็ล้วนเป็นเพราะแผนการพัฒนาประเทศที่ผิดพลาด ไม่วางอยู่บนเงื่อนเหตุแห่งอัตวิสัยตน ห้วงเวลา'การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย' ในช่วง๕ทศวรรษที่พ้นผ่าน ส่งผลให้สังคมไทยรากขาด ลองคิดดูเอาเถิด ถ้าต้นไม้เกิดอาการรากขาดจะมีอาการเช่นไร? ก็ย่อมต้องเหี่ยวเฉาโรยราเป็นโรคร้าย ถ้าได้รับการแก้ไขเขาเยียวยาทันกาล แม้อาจจะเจริญเติบโตให้ดอกผลได้อีก แต่อย่างน้อยก็ต้องแคระแกร็นไปช่วงใหญ่ๆ การที่ผู้นำประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านเมื่อ 5-6 ทศวรรษก่อน นำเอาระบบทุนนิยมบริโภคมาสถาปนาขึ้นและผลักดันให้ประชาชนไทยตะกรุมตะกรามสวมรับอย่างไม่มีพื้นฐาน โดยใช้ระบบการศึกษาและระบบสื่อสารมวลชนเป็นเครื่องมือปลูกสร้างกล่อมเกลา ถอนโรงเรียนออกจากวัด ถอนคตินิยมว่าด้วยความรู้พึ่งตนเองอย่างสมถะพอเพียงออกจากชีวิตวิถีพุทธที่สืบเนื่องมายาวนาน เน้นผลักกิเลสคนให้เริงแรง เน้นกำไรสูงสุด เน้นการแข่งขัน เน้นระบบแบบแพ้คัดออก และที่สำคัญคือเน้นให้เงินเป็นใหญ่-ให้เงินมีอำนาจสูงสุดเหนือคุณค่าอื่นใด ฯลฯ ปัจเจกอัตตาที่เคยสงบเย็น สังคมที่เคยสงบเย็น จึงเหมือนค่อยๆถูกสุมด้วยไฟนรกจากมือมารที่ชื่อความทะยานอยาก เพราะแรงกระตุ้นของกิเลสที่ไม่เคยรู้พอเพียง จนท้ายที่สุดสังคมก็เหมือนถูกวางอยู่บนเชิงตะกอนที่เบื้องล่างคือกองไฟร้อนแรงลุกโชนของระบบความอยากแห่งกิเลสทุนนิยมบริโภค!! หรือเมื่อถึงวันนี้ คุณครูทั้งหลาย  ท่านรัฐมนตรีและบรรดาอธิบดีในกระทรวงศึกษาธิการทั้งหลาย(อาจจะหัวหน้าใหญ่ของท่าน คือท่านนายกรัฐมนตรีนั่นด้วยหรือเปล่า?) ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนทั้งหลาย ท่านนายกอบจ.ทั้งหลาย นายกเทศมนตรีของเทศบาลทั้งหลาย และผู้ปกครองรวมถึงญาติพี่น้องของบรรดานักเรียนทั้งหลาย ฯลฯ จะหลุดพ้นจากการถูกเบื่อเมาให้ลืมรากแก้วของสังคมไทยที่สามารถมีความสุขได้อยู่บนความพอเพียงแห่งการรู้พึ่งตนเอง จากแรงกระตุ้นของระบบทุนบริโภคนิยมที่กระพือโหมจนกลายเป็นกระแสหลักแห่งโลกไปแล้วในวันนี้? ลองสำรวจตัวเองกันให้ดี ถ้าตัวตนของบรรดาท่านทั้งหลายยังคงถูกจองจำด้วยระบบคุณค่าเหล่านั้นอยู่ ก็น่าที่จะต้องเป็นบรรดาเหล่าท่านนั้นแหละ ที่ควรต้องถูกปฏิรูปก่อน! และแน่นอนควรจะเป็นบรรดาท่านทั้งหลายนั่นแหละที่ควรต้องเข้า ไอ.ซี.ยู. ก่อน!!!!