การออกมาปฏิเสธ จาก "รองโฆษกรัฐบาล" พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค ว่า "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่มีแนวคิดที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อ "ยุบพรรคการเมือง" จนส่งผลให้ "500ส.ส."พ้นสภาพ ! " เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยมีผู้ไม่หวังดีพยายามสร้างข่าวเท็จเพื่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในช่วงจัดตั้งรัฐบาล และลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดปัจจุบัน นายกฯ รับทราบเรื่องดังกล่าว และขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวที่ไม่มีที่มาที่ไป โดยยืนยันว่าไม่มีแนวคิดเช่นนั้น เพราะนายกฯเคารพกฎหมายและฟังเสียงของประชาชน ขณะนี้เป็นขั้นตอนของพรรคการเมืองจึงต้องรอความชัดเจน นอกจากนี้ยังเตือนผู้ไม่หวังดีให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว โดยรัฐบาลจะสืบหาต้นตอของข่าวเพื่อดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด" (30 พ.ค.2562) ทางด้าน "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์สื่อโดยส่งสัญญาณชัดเจนว่าหาก "พรรคประชาธิปัตย์" เอาอย่างไร ภูมิใจไทยก็ว่าตามกัน ในเรื่องของการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับ "พรรคพลังประชารัฐ" เรียกว่า ภูมิใจไทยกำลัง "ผนึก" กับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหวังกดดัน พรรคพลังประชารัฐ ให้ยอมรับ "เงื่อนไข" ในการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อให้สมประโยชน์ที่สุด ท่ามกลางกระแสข่าวที่สะพัดไม่หยุดหย่อนว่าปัญหาที่ทำให้ "ดีลล่ม" มาจากฝ่ายพรรคพลังประชารัฐ เอง ส่วนฟากพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้ กลายเป็นพรรคไซต์กลาง มี "53 ส.ส." แต่สามารถ "ต่อรอง" กับพรรคพลังประชารัฐ ชนิดที่เรียกว่าได้น้ำได้เนื้อ มากกว่าพรรคไหนๆ เพราะหากมองกันตามรูปการณ์แล้วต้องยอมรับว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในฐานะที่กดดัน สั่นประสาททั้งพรรคพลังประชารัฐ ลามไปถึงคสช. อย่างชัดเจน มิหนำซ้ำ ระหว่างที่ดีล 3 เส้า ระหว่าง พรรคพลังประชารัฐ -ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ยังไม่ลงตัว ก็พลันเกิดกระแสสะพัดปลุกประเด็นที่ว่าด้วย "การเมืองขั้วที่3" ขึ้นมาเป็นระลอก การออกมาปฏิเสธจากรองโฆษกรัฐบาลต่อกระแสข่าวว่า รัฐบาลจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อยุบพรรค มีขึ้นไล่ล้อ ไปกับการที่ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่ประเด็นการหารือระหว่าง "นายกฯ" กับ "ผบ.ทบ." อาจจะเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ก็ตาม เวลานี้การทำสงครามไอโอ เพื่อหวังผลในเชิงจิตวิทยา ด้วยท่าที ปฏิกริยาผสมผสานไปกับ "การปล่อยข่าว" ทั้งจาก "มือมืด" และจากความจงใจให้สัมภาษณ์กัน "ซึ่งหน้า" นับว่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะนี่คือฉากหนึ่งของการต่อสู้ ตอบโต้ และชิงไหวชิงพริบกันระหว่าง "นักการทหาร" กับ "นักการเมือง" ที่มี DNA แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่ จะว่าไปแล้วก็ล้วนแล้วแต่ เป็นขั้วการเมือง ที่เคยถูกจัดให้อยู่ในเครือข่ายอำนาจที่ยืนตรงข้ามกับ "คนที่ต่างประเทศ" ด้วยซ้ำ !!