สถาพร ศรีสัจจัง
หลายคนอาจไม่รู้เพราะเคยสนใจ ว่าวันจันทร์ที่ 15 ของเดือนมกราคม(หลัง'วันเด็ก'คือวันที่14มกราคม 1วัน)ที่เพิ่งพ้นผ่าน เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของสังคมไทย นั่นคือเป็น "วันครู"
วันของเหล่า"ครู"ที่สังคมไทยหยิบยืมคำๆนี้มาจากภาษาแขกอินเดีย คือคำบาลี 'ครุ' (อ่านว่า 'คะ- รุ' เพราะถ้าอ่านว่า 'คฺรุ' แบบควบกล้ำ จะหมายถึงภาชนะใส่น้ำชนิดหนึ่งที่ทำจากการจักสานตอกหวายหรือไม้ไผ่แล้วยาด้วยชัน) ที่หลายใครเมื่อถูกถามว่า รู้ไหม? คำนี้แปลว่าอะไร? ก็มักจะตอบทันทีอย่างมั่นใจเหมือนรู้แจ้งมานานแล้ว โดยมักตอบว่า-แปลว่า'หนัก' แต่พอถูกถามต่อ ว่าอะไรหนัก หรือ หนักอย่างไร ก็มักงงๆ เพราะไม่รู้ว่า 'ความหนัก'ตามความหมายที่แท้จริงของคำนี้คือ-หนักอะไรกันแน่!
ทำงานหนัก หนักอกหนักใจ หนักแรง หนักกาย หนักหนี้ หรือ รวยหนัก(แบบครูติวเตอร์หรือบรรดาครูมหาวิทยาลัย-ประเภท'ศ.ดร./รศ.ดร.'คนเก่งคนดังทั้งหลายนั่นไง) ฯลฯ ?
แต่..ก็ไม่เป็นไร(เหมือนบางวรรคในบทเพลง'ได้หมด...ถ้าสดขื่น..' ที่กำลังฮอทอยู่ในโลกโซเชี่ยลฯของน้อง'เจนนี่'สาวน้อยมหัศจรรย์ที่'ดังข้ามวัน'จากเมืองนครศรีธรรมราชคนนั้น) เพราะสังคมไทยก็นอย่างนี้แหละ คือไม่ต้องรู้อะไรจริง ไม่ต้องรู้เชิงประจักษ์ด้วยตัวเอง เพียงแต่จำและทำตามๆคนอื่นให้ได้ก็พอแล้ว!?
บังเอิญวันนี้มีบางใครใน'สภากาแฟบ้านนอก'คุยกันขึ้นมาในประเด็นที่ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยโยนคำถามเป็นเบื้องต้นเข้ามาในวงว่า 'มีความเห็นอย่างไรกับโครงการ"โรงเรียน ไอ.ซี.ยู."ของกระทรวงศึกษาธิการยุคนายกฯลุงตู่เป็นหัวเรือใหญ่แต่ไร้-
มีอดีอย่างพลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ กำกับกันบ้าง?"
หลังจากเซ็งแซ่ความเห็นกันทั้งสภาฯเป็นยกใหญ่ ก็นำไปสู่ข้อประมวลที่สรุปได้ในด้านดีว่า"เห็นด้วย-เชียร์!..แต่.."
เมื่อมีคำว่า "แต่.." ตามมา ก็แสดงว่าเป็นความเห็นด้วยหรือหรือการพร้อมเชียร์ที่มี 'เงื่อนไข'อยู่ด้วย ลองมาฟังบางประเด็นอภิปรายที่น่าสนใจของวงสภากาแฟต่ออีกสักหน่อยปะไร
เสียงหนึ่งอภิปรายลอยๆขึ้นพอสรุปเนื้อหาเป็นเบื้องต้นได้ว่า ในบรรดาเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ปัญหา"วิกฤติ"ของโรงเรียนนั้น ไม่ว่าจะอ้างอิงทฤษฎีอะไร ใช้ตัวชี้วัดไหน จะพูดให้ทันสมัยว่าเป็นเรื่องของฮาร์ด แวร์/ซอร์ฟ แวร์ หรืออะไรก็ตาม แต่ที่น่าจะสำคัญที่สุดก็คือ'ปัญหาคน'!
เมื่อบางเสียงในวงถามขึ้นว่า'คนอย่างไร'?
เขาก็สาธยายต่อทำนองว่า ก็คือปัญหาของ'คน'ทั้งที่เกี่ยวกับโรงเรียนโดยตรงและโดยอ้อม ถ้าใช้ทฤษฎีว่าด้วยความขัดแย้งเข้าไปจับก็คือ ปัญหาที่เกิดจากคนทั้งในด้านอัตตวิสัยและภววิสัย กล่าวคือ ทั้ง'คนใน'และ'คนนอก' คนในก็ได้แก่ กลุ่มคนผู้มีอำนาจในการวางระบบการศึกษาไทยมาตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน ไล่มาตั้งแต่พรรคการเมือง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี อธิบดี ผู้อำนวย-การกอง ผอ.เขตการศึกษา ผอ.โรงเรียน ครูใหญ่ ครูน้อย ภารโรง เด็กนักเรียน และผู้ปกครองนักเรียน เป็นต้น ส่วนคนนอกก็ได้แก่พฤติกรรมและค่านิยมของคนในสังคมชุมชนประเทศไทย คนในบริบทสิ่งแวดล้อมใกล้โรงเรียน เป็นต้น
แต่คนที่น่าจะมีผลทำให้โรงเรียนในทุกระดับของเมืองไทยต้องกลายเป็นเหมือนห้องไอ.ซี.ยู.ของโรงพยาบาล หรือพูดให้ชัดขึ้นก็คือ ทำให้โรงเรียนกลายเป็นเหมือนห้องบริบาลคนใกล้ตายที่ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า'โคม่า'นั่น น่าจะได้แก่ วัฒนธรรมในการเรียนการสอนที่เกิดจากระบบสังคมไทย ภายใต้การตอบสนองอย่างสุดจิตสุดใจ หรืออย่างเอาเป็นเอาตายของคนสองสามกลุ่มสำคัญ กลุ่มแรกคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษา กลุ่มที่๒คือครู อละกลุ่มที่3 (ตกกระใดพลอยโจน?)คือบรรดาผู้ปกครองนักเรียนนั่นเอง
ภายใต้'ความไม่รู้'ว่าเป้าหมายของการศึกษาคืออะไร?[เพราะไม่รู้ว่า'สิทธิและหน้าที่'ของการเกิดมาเป็นคนคืออะไร จึงทำให้ไม่รู้ว่า'คุณค่า'ของ'คน'ที่ควรเกิดจากกระบวนการเรียนรู้ (ก็คือระบบการศึกษาที่ปรากฏรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่า'โรงเรียน'
นั่นแหละ)คืออะไร] ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เองที่ช่วยกันลงแรงอย่างเอาเป็นเอาตาย ผลักเด็กไทยและโรงเรียนไทยเข้าสู่ห้อง-ไอ.ซี.ยู.อย่างไม่มีทางเลือก !
อันเป็นเหตุปฐมที่ก่อเกิดวิกฤติสังคมไทยนานัปการให้ตามมา!
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องว่ากันต่อ!!!