สถานการณ์ทางการเมืองมีโอกาสพลิกผันได้ตลอดเวลา เพราะอย่างน้อยที่สุดเวลานี้ “พรรคเพื่อไทย” ที่แม้จะเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง กวาดส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎรมาได้ถึง 137 ที่นั่ง แต่กลับไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มิหนำซ้ำล่าสุด ยังมีสัญญาณ “ยกธงขาว”ประกาศยอมแพ้อยู่ในที ล่าสุดพรรคเพื่อไทย แสดงท่าทีผ่านเพจของพรรคเพื่อไทยโดยมีการขึ้นภาพและข้อความประกอบ พร้อมทั้งระบุข้อความว่า “ พรรคยอมเสียสละ ไม่ขอรับตำแหน่งนายกฯ ไม่ขอต่อรองสร้างเงื่อนไขใดๆทางการเมืองอีก” หรือการโพสต์ข้อความว่า “โอกาสของประเทศสำคัญกว่าโอกาสของเพื่อไทย โอกาสของประชาชน คือภารกิจสำคัญ กว่าการแสวงหาอำนาจ เพื่อไทยยอมเสียสละ เพื่อไม่ให้เป็นเงื่อนไขต่อรองใดๆทางการเมือง ไม่ขอรับตำแหน่งนายก ร่วมกันขับไล่เผด็จการ ขอพรรค ที่เคยสัญญากับประชาชน มาร่วมกันใช้เสียง สส. #เอาเผด็จการแปลงร่างออกไป” อีกทั้งหลายวันที่ผ่านมา บรรดาส.ส.และอดีตส.ส.ของพรรคเพื่อไทยเอง ต่างออกมาให้ข่าวท่วงทำนองว่าคงต้อง “ทำใจ” ยอมรับชะตากรรมในฐานะ “พรรคฝ่ายค้าน” กันแล้ว เพราะวันนี้ไม่เพียงแต่ “7 พรรคฝ่ายประชาธิปไตย” ที่เคยประกาศแถลงข่าวลงสัตยาบันร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล 255 เสียง ก็ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า วันนี้เสียงที่มีอยู่นั้นยังครบดีอยู่หรือไม่ สิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังพยายาม “ออกแรง” มากเป็นพิเศษในยามนี้คือการเชื้อเชิญหาพันธมิตรให้มาร่วมกัน ต่อต้าน ขับไล่ “คสช.” ตัดวงจรการสืบทอดอำนาจ ด้วยการยื่นไมตรีเสนอเก้าอี้ “นายกฯ-ประธานสภาฯ” เพื่อเป็นของแลกเปลี่ยนและแสดงจุดยืนว่าวันนี้พรรคเพื่อไทยเลือกที่จะยึดประโยชน์ของประชาชนเหนืออื่นใด กลับมาที่ความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ เองที่นอกจากวันนี้จะยังไม่สามารถ หาข้อยุติได้ว่า ที่สุดแล้ว พรรคจะมี “มติ” ออกมาเช่นใด จึงจะสามารถรักษาดุลอำนาจภายในพรรคเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่วันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือภาวะระส่ำ เกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรคจากทุกทิศทุกทาง โดยที่ไม่ได้มาจาก “ควันหลง” จากการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่อย่างใด หากแต่นี่คือการสะท้อนให้เห็นถึง “จุดแตก”อันเกิดจากการสั่งสมปัญหา และความขัดแย้งภายในพรรคที่ยือเยื้อเรื้อรังมาอย่างยาวนาน ระหว่าง “ขั้วนายชวน” ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค กับ “ขั้วที่ไม่เอาอภิสิทธิ์” โดยเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองนอกพรรค อย่าง “กลุ่มกปปส.” ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทยออกแรงเขย่าพรรค จนมาถึงวันนี้เกิดเป็นกระแสขึ้นมาใหม่ ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์มีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐจริง คนแรกที่จะลาออกจากส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ คือ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ นั่นเอง นอกจากนี้ ยังกลายเป็นว่า เกิดการแสดงความเห็นในลักษณะ “แลกหมัด” กันเองระหว่าง แกนนำในพรรคประชาธิปัตย์ ในห้วงที่พรรคยังไม่มีความชัดเจนว่า จะตัดสินใจเลือกทางเดินเช่นใด ระหว่างการเข้าร่วมรัฐบาล หนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หรือการเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” เพื่อรักษาจุดยืนของพรรคเอาไว้ สถานการณ์ภายในพรรคเต็มไปด้วยความระส่ำระสาย แกนนำหลายคนประเมินว่า วันนี้ ประชาธิปัตย์ได้เดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่า “ร้าวลึก” จนถึงขั้น “พรรคจะแตก” จริงหรือไม่ !?