การออกมาทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ "เพลย์เมกเกอร์" ของ แต่ละฝ่าย แต่ละป้อมค่ายนาทีนี้ถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นฟาก "พรรคอนาคตใหม่" ที่บัดนี้ ทั้ง "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคและ "ปิยะบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรค กำลังอยู่ในสภาพที่บอกว่า "อ่วมอรทัย" จากพิษคดีความ จนอาจจะลุกลาม ทำให้พรรคพังไปด้วย เช่นเดียวกับฝ่าย "พรรคพลังประชารัฐ" เอง ที่แม้ดูจะอยู่ในสถานะที่ร้องเพลงรอ เตรียมตัวเป็น "พรรคแกนนำ" ในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะแม้จะไม่ใช่พรรคที่กวาดส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎร ได้มากเป็นอันดับหนึ่ง เหมือนกับพรรคเพื่อไทย ทว่า นาทีนี้ต้องบอกเลยว่า พรรคพันธมิตรของ "พลังประชารัฐ" ที่รอรับเทียบเชิญให้มาร่วมรัฐบาลผสม นั้นมีอยู่ไม่ใช่น้อย แถมยังมีวี่แววว่า ในการโหวตเลือก "นายกฯคนที่ 30"นั้นยังจะมี "งูเห่า" จากพรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตย ยกมือหนุน "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกด้วยต่างหาก จนกลายเป็นประเด็นที่สร้างความหวาดระแวงให้กับ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ ไปจนถึง แนวร่วมพันธมิตร จนต้องออกมาตอบโต้ สวนกลับไปยังฝั่งคสช. อย่างที่เห็น ! เวลานี้จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะพบว่า ไม่เพียงแต่สมาชิกพรรคอนาคตใหม่เท่านั้นที่จะทำหน้าที่พิทักษ์ ปกป้องธนาธร ทั้งการให้กำลังใจ ไปจนถึงการงัดหลักฐานออกมาช่ววตอบโต้กดดันกลับไปฝั่งพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้ง "องค์กรอิสระ"ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อของธนาธร โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนทำให้บัดนี้กกต.ได้กลายเป็น "ตำบลกระสุนตก" แบกรับทุกแรงเสียดทาน เพราะเวลานี้พรรคเพื่อไทยเอง ตลอดจนพรรคแนวร่วมที่ประกาศตัวร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องออกโรงมากดดันกกต. ปฏิบัติการ "เซฟธนาธร" จึงต้องมีการขยายแนวร่วม อย่าลืมว่าพรรคอนาคตใหม่ นั้นเป็นเหมือนตัวแปรในการตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และยังเป็นเหมือนการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ กับคสช. และกองทัพ ขณะเดียวกันพรรคพลังประชารัฐ เองไม่อาจวางใจหรือปล่อยให้สถานการณ์เดินหน้าต่อไป โดยไม่ขยับดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อรอเวลา "ตั้งรัฐบาล" เท่านั้น ยิ่งเมื่อพรรคอนาคตใหม่ เปิดเกมรุกกลับ ด้วยการยื่นให้มีการตรวจสอบผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ในข้อหาเดียวกันกับ ธนาธร ว่าด้วยการถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อ จนทำให้แกนนำพลังประชารัฐ "นั่งไม่ติด" อย่างไรก็ดี "แรงหนุน" ที่พรรคพันธมิตรได้เทสรรพกำลังให้กับคสช. หนุนพล.อ.ประยุทธ์ แล้วนั้นล่าสุดยังพบว่า ทั้งรัฐบาลและคสช.เองกำลังพลิกสถานการณ์ โดยไม่ได้รอเพียงแรงหนุนจาก "ฝ่ายการเมือง" เท่านั้น หากแต่การเปิดรับและสร้างภาพในเชิงบวก ต่อสายตานานาประเทศ เพื่อเป็นแรงหนุนจากนอกบ้าน แปรเปลี่ยน วิกฤตที่เคยเกิด "โลกล้อมไทย" ให้แปรเปลี่ยนมาหนุนคสช. ทั้งอนาคตใหม่ และพลังประชารัฐ ต่างมีภารกิจที่หนักหนา เข้มข้น โดยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะเดิมพันของทั้งสองฝ่ายนั้นต่างสูงลิบลิ่ว แพ้กันไม่ได้