สารพัดข้อเสนอ สารพันสูตรการเมืองที่ถูกเสนอขึ้นมา เพื่อหวังให้เป็น “ทางออก” จากวังวนหลังการเลือกตั้ง ที่ทุกฝ่ายต่างอยู่ในสภาพ “ติดล็อค” กันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการเสนอให้ใช้มาตรา 270 ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สว.และส.ส.สามารถขับเคลื่อนงานในฝ่ายนิติบัญญัติ หรือการเสนอ “รัฐบาลปรองดอง” ตลอดจนการเปิดทาง “นายกฯคนนอก” แต่ดูเหมือนว่า ทุกข้อเสนอ ต่างๆเหล่านี้ จะไม่ได้รับการ “ขานรับ” แต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อ “คำถาม” ถูกโยนไปยัง “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรณณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ปฏิเสธทันทีเมื่อเจอประเด็นเรื่อง “รัฐบาลแห่งชาติ” ว่า “ไม่มี ไม่มี” ประตูที่ปิดตายสำหรับ “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือ “นายกฯคนนอก” รวมทั้งการใช้บทบัญญัติในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดูจะมีความชัดเจนจากฟากฝั่ง “กองเชียร์” ที่สนับสนุน “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะทุกข้อเสนอที่โยนลงมาเป็น “โจทย์ข้อใหม่” ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรค ขัดขวางการเข้าสู่เก้าอี้นายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นรอบสองทั้งสิ้น ! เวลานี้ ทุกพรรค ทุกฝ่ายกำลังรอคอยความชัดเจนจาก ศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) ว่าจะมีมติรับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ส่งเรื่องให้วินิจฉัย สูตรคำนวณส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ อย่างไร เพราะยิ่งนานวัน “ความชัดเจน” ยังไม่ปรากฎ ยิ่งส่งผลให้นำไปสู่การตีความ การคาดการณ์ ไปจนถึงการเปิดเกมการเมือง ขึ้นมาเพื่อข่มขวัญ สร้างความวุ่นวาย สับสน อลหม่าน กันอย่างที่เห็น ! การรับมือกับความไม่ชัดเจนทางการเมือง สำหรับคสช.และ “พรรคพลังประชารัฐ” นั้น อาจจะต้องยืนระยะเพื่อรักษารังวัดของตนเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะอย่าลืมว่า แท้จริงแล้ว คสช.และพรรคพลังประชารัฐ ยังต้องรับศึกหลายด้าน นอกเหนือไปจากการเร่งจัดตั้งรัฐบาล นั่นคือการรับมือกับแรงเสียดทานที่เกิดจาก “กลุ่มการเมือง” ที่มาจากภาคประชาชน ผนึกกำลังกับ “พรรคอนาคตใหม่” ที่ดูเหมือนว่า ศึกหลังเลือกตั้ง กับแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ทั้ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค และ “ปิยะบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ยิ่งเมื่อพรรคอนาคตใหม่ ชูความชอบธรรม จากเสียงสนับสนุนจากประชาชนกว่า6ล้านคะแนนที่มอบให้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เพื่อใช้เป็น “เกราะกำบัง” จากคสช. ด้วยเชื่อว่าเพราะอนาคตใหม่ กำลังเป็น “หุ้นการเมือง” ที่ดีดตัวแรง เป็นหุ้นราคาดี และสามารถต่อกร ได้น้ำได้เนื้อ เหนือกว่า “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะ “คู่ปรับ” อีกทั้งแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ยังมีความพยายามที่จะใช้กลยุทธ์ โลกล้อมไทย ด้วยการดึงองค์กรต่างชาติ ให้เข้ามาสังเกตการณ์ ติดตามทุกความเป็นไปในบ้านเรา ขณะที่ทั้งธนาธรและปิยะบุตร เผชิญหน้ากับคดีความ จนทำให้รัฐบาลและคสช.เอง หวุดหวิด จวนเจียนจะเป็นฝ่ายพลาดพลั้ง สถานการณ์เช่นนี้ มีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปยืดเยื้อ และพัลวัน ชุลมุนมากขึ้น เพราะหลายต่อหลายฝ่ายต่างแสดงความเป็นห่วง วิตกกังวล ว่า ที่สุดแล้วเราจะใช้ช่องทางใด เพื่อฝ่าออกไปจากเดทล็อค หลังเลือกตั้ง กันให้ได้!!!