เมื่อปัญหาในเมืองไทย ไม่ใช่เรื่องภายในประเทศ เมื่อนานาชาติ พากันจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ต่างไปจากการเมืองในประเทศอื่นๆ
กรณีเจ้าหน้าที่ทูตจากประเทศต่างๆ พากันไปร่วมสังเกตการณ์ เมื่อวันที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ที่สน.ปทุมวัน ที่ผ่านมา กำลังกลายเป็น “เงื่อนไข” ที่ปลุกปัญหาความร้อนแรงให้ปะทุเดือดหนักมากยิ่งขึ้น
ลำพัง เมื่อคนในบ้านรบกันเอง ก็วุ่นวายมากอยู่แล้ว แต่เมื่อมีรายการ “ชักศึกเข้าบ้าน” ด้วยการเชิญ เจ้าหน้าที่ทูต มาเป็น “แนวร่วม” เช่นนี้ จะยิ่งมีแต่สร้างเงื่อนปม ผูกรัดสถานการณ์ให้ตึงเครียด
และที่สำคัญไปกว่านั้นอย่าลืมว่า เมื่อใดที่ “ฝ่ายตรงข้าม” เปิดเกมรุกด้วยการ “ดึงโลกล้อมไทย” เมื่อใด คสช.เองก็มักตกเป็น “ฝ่ายตั้งรับ” อย่างเห็นได้ชัด มาแล้วหลายครั้งหลายครา
เกมดึงโลกล้อมไทย นั้นต้องนับว่าใช้ได้ผล มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูก คสช.ยึดอำนาจใหม่ ๆ เมื่อกลางปี 2557
จุดอ่อนของคณะรัฐประหาร คือการถูกโจมตีด้วย แรงกดดันของการเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” เพื่อตอบโต้ “การยึดอำนาจ” การทำรัฐประหาร ของคณะบิ๊กทหาร มาโดยตลอด อย่างน้อยที่สุดตลอดระยะเวลากว่า 5ปีของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เองต้องใช้ความอดทนในการ “ตอบคำถาม” ประเด็นดังกล่าว มาอย่างยาวนาน
การเชิญเจ้าหน้าที่ทูตไปร่วมสังเกตการณ์ ที่สน.ปทุมวันนั้นได้รับการยืนยันจาก โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ทูตไม่ได้ “ขอมาเอง” หากแต่เป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คือ ธนาธร ออกแรงไปเชื้อเชิญ “คนนอก” เข้ามาต่างหาก
แน่นอนว่าในท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง เวลานี้ เต็มไปด้วยความอ่อนไหว เกิดความขัดแย้งขยายวงกว้างออกไปแทบทุกวงการ ไม่เฉพาะการเปิดศึกระหว่าง “ฝ่ายการเมือง” เท่านั้น หากแต่ยังลามไปดึง “กองทัพ” ลงมาสู่สนาม ขณะเดียวกันทางด้านธนาธร และแนวร่วมที่ประกาศตัวสนับสนุน เองก็เชื่อมั่นว่าจาก “ชัยชนะ” ในการเลือกตั้งที่พรรคอนาคตใหม่ได้ที่นั่งส.ส.เข้ามาเกินความคาดหมายเช่นนี้ ย่อมมีน้ำหนักมากพอที่จะใช้ในการเคลื่อนไหวเพื่อ สู้กับคสช.ภายใต้ภารกิจ “ล้มล้างเผด็จการ”
ผลลัพธ์จากการเปิดเกมดึงโลกล้อมไทย จากแกนนำพรรคอนาคตใหม่ แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เพราะอย่าลืมว่า ลึกไปกว่าการเมืองภายในประเทศ นั่นคือ “การเมืองระหว่างประเทศ” ที่สหรัฐฯส่งคนเข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทย ด้วยรูปแบบและวิธีการต่างๆ มาโดยตลอด
อีกทั้งหากประเมินจาก ปฏิกริยาของ คนในรัฐบาลและคสช.ที่ออกมาตอบโต้ด้วยความไม่พอใจ ทั้ง “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมว.ต่างประเทศ รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์
“เรื่องของต่างประเทศก็ต้องคุยกันต่อไป ให้เขาเข้าใจในเรื่องประเด็นเหล่านี้ด้วย ก็ไม่อยากให้เอาอะไรมาพันกันไปมา ต้องมองวัตถุประสงค์คนที่เชิญ คนที่มา คนที่นำมา อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่อยากให้คนไทยไปคล้อยตามมากนัก เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมของเราเอง
ถ้าเราไม่เชื่อมั่นและยึดถือกระบวนการยุติธรรมของเรา มันก็เป็นโอกาสที่ใครจะแทรกแซงเข้ามา จะด้วยความหวังดีหรือไม่หวังดีก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ต้องทำความเข้าใจกันต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์สื่อที่ทำเนียบฯ
การดึงโลกล้อมไทยนั้นถือเป็นกลยุทธ์คลาสสิกที่ฝ่ายตรงข้ามกับคสช.เองก็ใช้ความพยายามมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเดินตามโมเดล เมื่อครั้งที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เคยใช้มาก่อน หรือไม่ก็ตาม แต่บริบททางการเมืองของสังคมไทยเวลานี้ กำลังเปราะบางและง่ายที่ต่อการ “ขยายผล” ไปสู่จุดแตกหัก มากกว่าที่ผ่านมา !