แนวรบที่ฟากฝั่ง “พรรคเพื่อไทย” เงียบสงัดจนน่าใจหาย บรรดา “แม่ทัพนายกอง” พากันเก็บตัวเงียบ หลังจากเสร็จศึกเลือกตั้ง ผ่านพ้นไป หลายคนต่างบอบช้ำอยู่ไม่น้อย จะมีก็เพียงแค่ความเคลื่อนไหว ของแกนนำไม่กี่รายผ่านโลกออนไลน์เพื่อรักษาบทบาท ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น !
แต่ทั้งนี้จะว่าไปแล้ว ภายในพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่ได้เงียบสงัดไปเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยที่สุด หลังการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค.เป็นต้นมา นอกเหนือไปจากความพยายามของพรรคเพื่อไทยที่ขยับ เพื่อชิงจังหวะ “ตั้งรัฐบาล” แข่งกับ “พรรคพลังประชารัฐ”
ทว่าจนถึงวันนี้ การจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย กลับต้องถูกเบรคลง อันสืบเนื่องมาจาก ความไม่ชัดเจนของ ตัวเลขส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ว่าพรรคไหน จะได้เท่าไหร่ และที่สำคัญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต). จะแก้ปัญหาเรื่อง “สูตรคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” อย่างไร
ดังนั้นเมื่อ “ตัวเลข” ส.สปาร์ตี้ลิสต์ยังไม่นิ่ง และไม่ชัดเจน โอกาสที่การจับมือกันชิงตั้งรัฐบาลผสม ก็มีสิทธิ “พลิกล็อค”ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวที่ไม่เป็นผลในเชิงบวกต่อพรรคเพื่อไทย เมื่อบรรดา แกนนำพรรคหันมาเปิดศึกกันเอง ว่า “นายใหญ่” เปลี่ยนตัวเล่นจาก “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ของพรรคมาเป็น “ชัยเกษม นิติสิริ” แกนนำพรรค ในฐานะแคนดิเดตนายกฯของเพื่อไทย ก่อนที่ฝ่ายหลัง จะออกมาปฏิเสธข่าวว่าไม่เป็นความจริง
อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงแล้ว กลยุทธ์การเปลี่ยนตัวเล่น ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ นั้นเกิดขึ้นมาแล้วต่างกรรม ต่างวาระ เพราะอย่าลืมว่าการรบที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่อยู่ที่การวางแผนการเล่น “แบบระยะยาว” หากแต่ต้องขึ้นอยู่กับ “สถานการณ์”
บางครั้ง “บางคน” เหมาะสม สถานการณ์อย่างหนึ่ง ขณะที่บางคน ก็หมดเวลา ต้องดึงออกจากสนาม !
บรรยากาศทางการเมืองที่กำลังเข้มข้น ร้อนแรง สร้างแรงสั่นสะเทือนระดับหลายริกเตอร์ ให้กับฝ่าย “กองทัพ” และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มากที่สุด มีน้ำหนักมากที่สุด และที่สำคัญยังมีแนวโน้มที่จะทำให้ “บิ๊กคสช.” ต้อง เสียอาการมากที่สุดในยามนี้
คงต้องยกพื้นที่ให้กับ การเคลื่อนไหวของ “แกนนำพรรคอนาคตใหม่” ทั้ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค ที่ทั้งคู่ กำลังปลุกมวลชนให้ออกมาปกป้อง ด้วยเชื่อว่าทั้งคดีความที่กำลังเผชิญอยู่ในวันนี้เป็นผลพวงมาจากการประกาศตัวอยู่ตรงข้าม กับฝ่ายคสช. เป็นสำคัญ
ไม่เพียงแต่การปลุกมวลชนออกมาร่วมกดดันคสช.และกองทัพ หากแต่ ล่าสุด “โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ” เองได้ออกมายืนยันเองว่ากรณีที่เจ้าหน้าที่ทูตจากประเทศต่างๆไปร่วมสังเกตการณ์ที่สน.ปทุมวัน ในวันที่ธนาธร เข้ารับทราบข้อกล่าวหานั้น ก็เป็นธนาธร ที่เชิญต่างชาติไปเอง
จะด้วยความหวั่นไหว หรือต้องการ “ดึงโลกล้อมไทย” ของธนาธรก็ตามที แต่ต้องยอมรับว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมานั้นไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยนัก จน “ทีมโฆษกคสช.” ต้องออกมาชี้แจงและยืนยันว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยนั้นยึดหลักสากล ไม่มีการใช้คดีเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม ตามที่ “เอมเนสตี้” กล่าวหา
การปลุกมวลชนให้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อกดดันคสช.และกองทัพ ของแกนนำพรรคอนาคตใหม่ อาจยังเป็นวาระที่ต้องอาศัยจังหวะและสถานการณ์เป็นตัวบ่มเพาะ เพราะหากจะให้ “จุดติด”เหมือนเช่นม็อบเสื้อเหลือง เสื้อแดง นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ยิ่งการเคลื่อนไหวของฝ่าย “ธนาธร-ปิยะบุตร” ยืดเยื้อออกไปนานเท่าใด ทางหนึ่งคือการเปิดเผยมือทำงานที่อยู่ในพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นบรรดาคนเสื้อแดง และคนที่เกี่ยวโยงกับขั้วอำนาจของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า หากเปรียบ “พรรคอนาคตใหม่”เป็น “ตัวเล่น” บนกระดานการเมือง เวลานี้แล้ว ต้องบอกเลยว่า หาก “นายใหญ่” คิดจะลงทุน รับรองว่า “คุ้มค่า” อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็สามารถกดดันคสช.และออกแรง “บีบ” กองทัพ ได้มากกว่าหมากตัวไหนๆ !