หลังการเลือกตั้งเป็นต้นมา ทั้งบรรยากาศและสถานการณ์การเมือง กลับมีแนวโน้มว่า ยากที่จะคืนสู่ความสงบสุขมากขึ้นทุกขณะ !
มิหนำซ้ำในทางตรงกันข้ามแล้ว ยังกลายเป็นว่า มีเหตุการณ์ หลายปัจจัยที่ล้วนแล้วแต่จะเป็น “เงื่อนไข” ล้อมกรอบที่ง่ายต่อการเกิด “ความรุนแรง” อย่างเห็นได้ชัด
ระหว่างทางของการจัดตั้งรัฐบาลผสม หลังการเลือกตั้งยังคงดำเนินไป ในท่ามกลาง “ความไม่แน่นอน” เพราะจนถึงบัดนี้ “ตัวเลขส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” ของแต่ละพรรคการเมือง ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ นั้นก็ปรากฎว่า การเปิดฉาก “ประดาบ” ระหว่าง “แกนนำพรรคอนาคตใหม่” ทั้ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค กับ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค ที่อ้างว่ามีมวลชนในมือจากผลคะแนนการเลือกตั้งครั้งนี้กว่า “6 ล้านเสียง” ประกาศท้ารบ กับ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” หรือคสช. อย่างตรงไปตรงมา
ภาพที่มวลชนพากันเดินทางไปให้กำลังใจ ธนาธร เมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา บริเวณหน้าสน.ปทุมวัน น่าจะเป็นการส่งสัญญาณจากฟาก “ฝ่ายประชาธิปไตย” ให้คสช.ได้พอประเมินแล้วว่า พวกเขาพร้อมที่จะ “ขยับ” !
เพราะเพียงแค่ธนาธร เดินทางมาสน.ปทุมวันเพื่อให้ปากคำ หลังจากถูกแจ้ง 3 ข้อหา คือ มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น, มาตรา 119 พาผู้ต้องหลบหนี และมาตรา 251 มั่วสุมชุมนุมกันเกิน 10 คนเพื่อประทุษร้าย ก็สามารถ กวักมือระดม “พี่น้องประชาชน” ออกมาแสดงพลัง
แน่นอนว่าหลายต่อหลายฝ่าย ต่างวิตกกังวลว่า ภาพการแสดงพลังของมวลชนฝ่ายสนับสนุนธนาธร และปิยบุตรถึงกับประกาศตัวขอปกป้องทั้งคู่ด้วยเชื่อว่านี่คือการกลั่นแกล้ง เพื่อหวัง “สกัด” ไม่ให้พรรคอนาคตใหม่ ได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยได้สำเร็จ แต่ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมาในอดีต การปลุกมวลชนออกไปต่อต้าน ประท้วงอำนาจรัฐบน “ท้องถนน” นั้นที่สุดแล้วก็มักจะนำมาซึ่ง “ความรุนแรง”
อย่างไรก็ดี เวลานี้แม้สถานการณ์ยังเดินไปไม่ถึงจุดพีค แต่ถึงกระนั้นลึกๆแล้ว ฝ่ายการเมืองเองก็มีความกังวลว่า หากในระหว่างที่ยังตั้งรัฐบาลกันไม่ได้ จนกว่าจะผ่านพ้นหลังวันที่ 9 พ.ค.ไปแล้ว หากมี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้น เลือกใช้การ “โยนฟืน” หรือ “ราดน้ำมัน”บนกองไฟ ปลุกชนวนความขัดแย้ง ให้ขยับไปสู่ความรุนแรงขึ้นฉับพลัน ปัญหาใหญ่จะติดตามมาทันที !
การข่าวจากฝ่ายความมั่นคง ทั้งตำรวจและทหาร เวลานี้ไม่เพียงแต่จะทำหน้าที่ “หาข่าว”เท่านั้น หากแต่ปฏิบัติการ “ล็อกแกนนำ” ในระดับพื้นที่เพื่อไม่ให้ “ขยับ” ปลุกระดมกันออกมา ยังคงดำเนินอยู่อย่างเข้มข้น
โดยเฉพาะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น มีการปะทะกันจากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจากนี้ไป แน่นอนว่าแรงกดดันมีแต่จะพุ่งตรงไปยังฝ่ายรัฐบาลและคสช.ทันที
เมื่อเป็นเช่นนั้น จะยิ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงที่คสช.เอง จะถูกดึงเข้าสู่ “คิลลิ่ง โซน” เสียเอง ทั้งที่มีความพร้อมมากมาย ทั้งกำลังพลและอำนาจรัฐในมือ !