สถาพร ศรีสัจจัง ชาวสภากาแฟหลายวงเปรยกันให้แซ่ดเป็นทำนองว่า คนที่ชาวไทยอยากให้มอบของขวัญให้มากที่สุดก็น่าจะเป็นท่านนายกฯลุงตู่นั่นแหละ ดังนั้นจึงควรที่คนไทยทั้งหลายจะได้รวมศูนย์กันร้องขอดังๆ ในทำนองว่า ไหนๆท่านก็เข้ามาแล้วทั้งที อีกไม่กี่วันก็จะครบเวลาที่พูดเอาไว้เองว่าจะต้องไป ก่อนไปจึงน่าที่จะช่วยทำอะไรให้สะเด็ดน้ำเสียหน่อย ให้เป็นมรรคเป็นผล ให้เป็นพรมอบให้คนไทยทั้งหลายตั้งแต่เริ่มศกใหม่ ปี 2560 นี่แหละ นั่นคือขอให้นายกฯลุงตู่ช่วยสนองพระเดชพระคุณล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ในพระบรมโกศ โดยการทำให้ระบบเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ท่านทรงประทานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 โน่นแล้ว ปรากฏเป็นจริง เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้สักทีเถอะ อย่าพูดแต่ปาก อย่าพูดลอยๆทางจอทีวี ไปวันๆ เหมือนกับที่บรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายเขาเคยทำกันมาแล้วแต่ปีมะโว้อยู่เลย บรรดา “'เทคโนแคร็ต" ทั้งในเครื่องแบบนอกเครื่องแบบที่ “สะพรึ่บสะพรั่ง ณ หน้า และ หลัง ณ ซ้าย และ ขวา” อยู่รอบตัวท่านนายกฯลุงตู่ ไม่บอกไม่ช่วยคิดบ้างหรือไร? ว่าควรจะต้องทำเยี่ยงไร? นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงจึงจะเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นได้จริง? ทำไม สนช.ที่ผ่านกฎหมายสารพัดสารพันได้จนเกือบ 300 ฉบับเข้าแล้ว(รวมพรบ.สงฆ์ใหม่เอี่ยมถอดด้ามด้วย ฮิๆๆ)แล้วจะผ่าน พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงที่ เจ๋งๆจนสามารถบรรลุพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศสักฉบับไม่ได้เชียวหรือ? ก็ในคอลัมน์นี้แหละที่เคยเสนอแนวทางรูปธรรมเกี่ยวกับวิธีการ “ผลักและดัน” แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาระบบเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย(ภูฏานที่มีกษัตริย์หนุ่มอย่างองค์ จิกมี่ วังชุกได้รับไปปฏิบัติจนเกิดเป็นจริงมาตั้งนานแล้ว)ว่าจะต้องเริ่มที่'คนของราชการ'ในทุกระดับก่อน ต้องให้คนพวกนี้ทำให้เห็นชัดๆ ชาวบ้านที่ตื่นตัวรับด้วยเกล้านำไปทำกันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วจะได้มีกำลังใจนำไปขยายในแนวราบหรือในระดับ “เครือข่าย” (ไม่ใช่แบบ “โครงข่าย” หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “Tob douwn” อะไรนั่น) ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ต้องเริ่มตั้งแต่การกำหนดคุณสมบัติคนที่จะมาเป็น “ข้าราชการ” (หรือ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ก็ตาม)เป็นปฐมว่า ต้องสอบผ่านวิชานี้ ที่สำคัญก็คือในช่วง 10 ปีแรก จะต้องสร้างระบบการประเมินเพื่อให้รางวัลและลงโทษกันอย่างเข้มข้น ในการปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ “ชีวิตพอเพียง” เพื่อก่อเกิดผลสะเทือนเป็นแบบอย่างแก่ราษฎร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี จนถึงระดับอธิบดีทั้งหลายนั่นแหละที่ต้องประเมินกันอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ กล้าทำหรือเปล่าละ?                 ถ้ามีพ.ร.บ.(หรือ พรก.)เจ๋งๆเพื่อการนี้เป็นเข็มทิศนำทาง เชื่อเถอะ ภายในเวลาไม่นาน สังคมประเทศไทยจะสวนกระแสโลกทุนนิยม กลายเป็นสังคมที่มีฐานคิดเชิงพุทธนิยมอย่าแท้จริง นั่นคือจะเกิดการปฏิบัติพรหมวิหาร 4 กันอย่างกว้างขวาง และอำนาจของ “พรหม” ก็จะก่อเกิดความสุขมวลรวมอย่างแท้จริงขึ้น ความร้อนเริงแรงที่เกิดจากความโลภด้วยแรงกระคุ้นของระบบ เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด'ก็จะค่อยซาลงจากจิตใจพี่น้องไทย แล้วสังคมพอเพียงที่เปี่ยมเต็มด้วยสามัคคีธรรมแห่งมวลมนุษย์ก็จะเกิดขึ้นในเมืองไทยเป็นต้นแบบของชาวโลก! แล้วโลกก็จะได้ประจักษ์จริงแก่ใจเสียทีว่า ที่นายกฯลุงตู่ลงทุนโดยไม่กลัวว่าประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลก จะจารึกชื่อไว้ในฐานะ- “เผด็จการทหาร” หรือ “ผู้ทำลายประชาธิปไตยโดยการรัฐประหาร” (Coup d'etas) อย่างที่หลายใครอยากให้เป็นนั้น แท้ที่จริงแล้ว คือ “ต้นแบบ” ของอัศวินม้าขาวที่เข้ามาเพื่อปัญหาของชาติไทยให้สะเด็ดน้ำอย่างแท้จริง! แก้โดยน้อมนำเอาแนวคิดเรื่อง “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” ที่โลกยอมรับแล้วของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 แห่งจักรีวงศ์มาสนอ พระราชปณิธานจนไม่มีใครสามารถโต้แย้งบิดเบือนได้                   ชาวสภากาแฟทั้งหลายจึงพร้อมใจกันประสานเสียงดังๆว่า ขอนายกฯลุงตู่โปรดให้ “ของขวัญปีใหม่” ชิ้นนี้แก่ราษฎรไทยที่รอคอยอยู่ถ้วนหน้าด้วยเถิด เพื่อพระอัจฉริยภาพของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจักได้รุ่งโรจน์เรืองรุ่งคงอยู่คู่ไทยชั่วกาลนาน!                    ส่วนโครงการ “เงินแจก” คนจนรายละพันสองพัน ที่ใครๆก็ว่าเป็นการ “แจกปลา” ไม่ใช่ “แจกเบ็ดเพื่อให้ตกปลาเอาเอง”ตามที่ในหลวงในพระบรมโกศเคยทรงสอนนั่น จะยกเลิกเสียก็ไม่เห็นจะเป็นไร !!!