เสรี พงศ์พิศ www.phongphit.com นโยบายดีๆ ที่พรรคการเมืองได้ประกาศไว้จะทำได้แค่ไหนก็อยากขอร้องให้มองไกลๆ ไปกว่าประชานิยมประชารัฐ มองไปถึงการสร้างระบบน่าจะทำให้เกิดการพัฒนายั่งยืนกว่า ไม่นานมานี้ มีข่าวเล็กๆ ทางบีบีซี ผู้หญิงจีนคนหนึ่งฉีดน้ำผลไม้กว่า 20 ชนิดเข้าเส้น เพื่อให้สุขภาพดี แต่มีอาการหนักปางตาย ต้องเข้าห้องไอซียู ตับ ไต หัวใจและปอดเสียหายอย่างหนัก พอๆ กับรถยนต์เข้าปั้ม เขาเติมน้ำมันผสมน้ำให้ เครื่องพัง ตามคาด โซเชียลมีเดียจีนเดือด ส่วนใหญ่ตกใจที่มีคนขาดความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ได้เพียงนี้ แต่นั่นคือการมองโลก มองชีวิตแบบแยกส่วน มองเป็นกลไก ลดทอนทุกอย่างที่ซับซ้อนให้เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ไม่กี่อย่าง คิดแบบซื่อๆ ว่า น้ำผลไม้ดี ถ้าฉีดเข้าไปก็จะได้ผลเร็วกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่าเข้าทางปาก ความจริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคนจีน แต่เป็นเรื่องคนไทยและคนทั่วโลก ที่คิดแบบกลไก แยกส่วน ดูการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเครื่องดื่ม อาหารเสริม ยา สมุนไพร ฯลฯ ที่ประกาศสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ อย่างเช่น กินนมถั่วเหลืองชนิดนี้เข้าไปเพียงกล่องเดียวได้แคลเซี่ยมเพียงพอต่อวัน ส่วนใหญ่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียวหรือน้อยกว่านั้น เพราะร่างกายเราไม่ใช่รถยนต์ ที่ไปเติมน้ำมันเท่าไรก็ได้เท่านั้น มีระบบย่อย ระบบเผาผลาญ อาจผ่านเข้าไปได้จริงเพียงร้อยละ 10 แต่ถ้ามี ตัวช่วยŽ อย่างที่ญี่ปุ่นวิจัยเอากวาวเครือขาวไปผสม ทำให้ร่างกายสามารถซึมซับสรรพคุณของนมถั่วเหลืองได้ถึงร้อยละ 40 แต่เราก็ยังได้ยินได้เห็นโฆษณาที่คิดแบบ เส้นตรงŽ และ กลไกŽ อยู่ทุกวัน ร่างกายเราเป็น ระบบŽ ที่มีลักษณะเป็นองค์รวม มีชีวิต ที่ทุกส่วนสัมพันธ์กัน มีเซลล์เป็นล้านล้าน มีระบบย่อยที่เชื่อมต่อกันเป็นระบบใหญ่ ไม่ได้มีแต่ กายŽ แต่มีจิตใจ มีอารมณ์ มีสมอง มีญาณทัศนะ คนŽ คือ สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่กว่าส่วนประกอบต่างๆ ทั้งหมดมารวมกัน อันเป็นความหมายของคำว่า องค์รวมŽ (holistic) ถ้ามองแบบแบบกลไก (mechanistic) คนก็ไร้จิตวิญญาณ เป็นเหมือนเครื่องจักร ถ้ามองแบบลดทอน (reductionist) คนก็เหมือนสัตว์ทำได้แค่ กิน ขี้ ปี้ นอนŽ เท่านั้น คำว่า ระบบŽ จึงมีความสำคัญ ถ้ามองคนอย่างเป็นระบบ มองสุขภาพอย่างเป็นระบบ ก็จะไม่ทำให้เกิดปัญหาที่สุดโต่งอย่างการฉีดน้ำผลไม้เข้าเส้นแบบขาดความรู้เรื่องระบบสุขภาพ การเข้าใจสุขภาพของคนว่า เป็นระบบ จะทำให้คนเราดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเป็นระบบ กินเป็น อยู่เป็น ปล่อยวาง อย่างที่รณรงค์ 3 อ. ดูแลอาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะวิธีคิดของสังคมวันนี้เป็นกลไก แยกส่วน โหมกระหน่ำด้วยโฆษณาชวนเชื่อ ครอบงำด้วยข้อมูลที่กำกวม ทำให้เข้าใจผิด ทำให้คิดแบบลดทอนและสรุปเอาง่ายๆ จนเกิดความเสียหาย สังคมการเมืองก็เช่นเดียวกัน เลือกตั้งจบแล้ว จะได้ผู้แทนราษฎรเข้าไปนั่งในสภา จะเกิดปัญหาอีกสารพัด แค่เริ่มต้นก็ฝุ่นคลุ้ง มองไม่เห็นทางไปแล้ว สำหรับประชาชนเอง หลังจากได้ฟังการร่ายมนต์ของบรรดานักการเมืองมาหลายเดือน วันนี้คงเป็นอย่างที่อมาตยา เซน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิล ชาวอินเดียบอก เมื่อความฝันสิ้นสุดลง คนก็เริ่มค้นหาความจริงกันใหม่Ž แต่ที่เขาพูดไว้แบบน่าเอาไปคิดพิจารณาเพื่อหาทางออก คือ เพื่อก้าวพ้นนิยายของการพัฒนา เราจะต้องมีระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งตนเองŽ นักการเมืองหาเสียงด้วยนิยายของการพัฒนา มีลดแลกแจกแถมแบบที่ชวนฝันเป็นอย่างยิ่ง มี สวัสดิการŽ มากมาย ที่ไม่อาจอธิบายอย่างอื่นได้นอกจากเป็นการสงเคราะห์คนจน คนทุกข์ยากลำบาก คนชรา คนด้อยโอกาส แต่สังคมโดยรวมยังเหมือนเดิม เพราะไม่แตะระบบโครงสร้าง นักการเมืองคิดว่าตนเองเป็นหมอ มองบ้านเมืองเหมือนโรงพยาบาล จึงเข้ามาเพื่อรักษาคนไข้ มองเห็นคนไทยส่วนใหญ่ยัง โง่ จน เจ็บŽ ไม่ได้ประกาศว่า จะสร้างระบบสังคมที่ทำให้คนเรียนรู้และพึ่งตนเองอย่างไร จะได้ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่เป็นภาระของรัฐหรือของสังคม ยังไม่เคยได้ยินพรรคใด นักการเมืองคนใดพูดเรื่อง ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งตนเองŽ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา จึงเป็นคนชายขอบ ประชาชนนอกŽ เป็นลิ่วล้อในหนังจีน ตัวประกอบ เป็นแรงงาน รับใช้นายทุนและรัฐ เป็นฐานให้ระบบเศรษฐกิจใหญ่เติบโต แต่ตัวเองอดอยากยากแค้น ไม่มีใครเสนอแนวคิดที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจชุมชนที่เข้มแข็งและพึ่งตนเอง พูดแต่เรื่องรายได้ ชาวบ้านจึงก้มหน้าก้มตาหาเงินเอาเป็นเอาตาย เพื่อจะได้ไปซื้ออยู่ซื้อกิน ทั้งๆ ที่สามารถทำมาหากินได้หลายแบบหลายวิธีที่จะลดค่าใช้จ่าย และไม่เป็นหนี้เป็นสินแบบดินพอกหางหมู เพราะทุนท้องถิ่นมีเพียงพอเพื่อให้ชุมชนอยู่อย่างพอเพียงได้ แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดคิดเรื่องการคืนอำนาจให้ประชาชนทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง อย่างจริงจัง ได้แต่ตีฝีปาก แสดงโวหาร อวดอ้างปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีแต่ยาแก้ปวด มีแต่โครงการร้อยแปด โครงการประชานิยมทั้งหลายอาจกลายเป็นเหมือนการฉีดน้ำผลไม้เข้าเส้น หรือเหมือนนักขายยาอาหารเสริม ที่ประกาศสรรพคุณอย่างยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้เสนอแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพคนให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องกินยาหาหมอ ความคิดแบบกลไกไปกับการลดทอน ลดคุณค่าคนให้เหลือแค่ผู้ไปลงคะแนน ลดประชาธิปไตยให้เหลือแค่ไปเลือกตั้ง ลดการเมืองเหลือเพียงเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ สังคมจึงเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง คือความขัดแย้งและวงจรอุบาทว์ เพราะสังคมกลไก เป็นสังคมที่ไม่มีหัวใจ ไม่มีชีวิต ไร้จิตวิญญาณ