ทองแถม นาถจำนง เยาวชนทุกวันนี้อาจจะไม่เข้าใจคำว่า “เซ็งลี้” ความหมายมันไม่ค่อยดี หมายถึงพวกแสวงหากำไร โดยไม่คำนึงถึงจริยธรรมใด ๆ โกหกได้ก็โกหก โกงได้ก็โกง ละเมิดกฎหมายได้ก็ละเมิด หาหนทางใช้อภิสิทธิ์ใช้อำนาจรัฐมาอำนวยผลประโยชน์ส่วนตัว คนแบบนี้ โลกไม่เคยขาด ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าเรื่องคนแบบนี้ไว้รายการ “เพื่อนนอน” วันที่ 13 มิถุนายน 2508 ........................................... “เมื่อประมาณสักห้าปีหลังจากที่ได้ตั้งคณะรัฐบาลปฏิวัติขึ้นใหม่ ๆ ได้มีบุคคลคนหนึ่งเป็นชาวสเปน ชื่อนายมูนโยส เป็นที่รู้กันว่าเป็นมหาเศรษฐียิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งเข้ามาเมืองไทย แล้วก็ได้เข้ามาเสนอโครงการที่จะพัฒนาประเทศไทย โดยรับมอบหมายจากรัฐบาลไทยทีเดียว แล้วนายมูนโยสก็อ้างว่าจะเอาทุนรอนมามากมายเพื่อจะมาทุ่มเทลงไปในการพัฒนาเมืองไทย จะสร้างโรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ แล้วก็จะสร้างอะไรต่ออะไรอีกมาก เป็นรายละเอียดใหญ่โตมากมาย ก่อให้เกิดความตื่นเต้นกันพักใหญ่ในขณะนั้น พูดง่าย ๆ นายมูนโยส ก็เหมือนจะขอเข้ามาผูกขาดประเทศไทยเพื่อทำการค้าและการอุตสาหกรรมในขณะนั้น นายมูนโยสได้มาติดต่อกับกระทรวงการคลัง แล้วกระทรวงการคลังก็ได้เสนอขึ้นไปยังคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วก็ไม่รับแผนการของนายมูนโยส นายมูนโยสก็หายไป ข่าวนายมูนโยสเงียบหายไปหลายปี ก็ไปเป็นข่าวขึ้นในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ว่า นายมูนโยสถูกตำรวจสวิสเซอร์แลนด์จับตัวไปแล้ว และจะดำเนินคดีต่อไปในข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ฉ้อโกง เรื่องราวของนายมูนโยสนั้นปรากฏว่านายมูนโยสนั้นมีทุนรอนมากมายจริง คือไปรับเงินมาจากบุตรชายของผู้เผด็จการ ทรูจิลโล แห่งสาธารณรัฐโดมินิกัน ผู้ซึ่งถูกยิงตายไป บุตรชายก็รับมรดกกี่พันล้านก็ไม่ทราบละครับ แล้วก็เอาทุนนั้นไปให้นายมูนโยสออกไปหมุนนอกประเทศ นายมูนโยสได้เงินมาทีแรกผมเข้าใจว่าที่จะมาประเทศไทยก็คงจะได้เงินจำนวนนี้มาอยู่ในกระเป๋าแล้ว แล้วก็นึกถึงประเทศไทยออก ก็เลยมาประเทศไทย แต่เผอิญประเทศไทยเราไม่ยอมรับ นายมูนโยสก็ไปที่อื่นคือไปที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไปถึงก็เอาเงินนั้นไปฝากไว้ในธนาคารในประเทศสวิสเซอร์แลนด์สองธนาคาร ซึ่งธนาคารอื่น ๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อนายมูนโยสไปติดด่อขอฝากเงิน เขาเห็นไม่ชอบมาพากล เขาก็ไม่รับ แต่ก็มีธนาคารสองธนาคารรับฝากเงินก้อนใหญ่ของนายมูนโยส เสร็จแล้วนายมูนโยสก็ตั้งธนาคารของตนขึ้นเองอีกในกรุงโรม และนอกจากนั้นก็ไปตั้งบริษัทการค้าขึ้นในประเทศเล็ก ๆ ในยุโรปและปานามา ตลอดจนในเมืองเบรุต ในอัฟริกาเหนือ ในเมืองแอลดอร่า ในประเทศลุกเซมเบิร์ก ก็เป็นประเทศเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งนั้นครับ นายมูนโยสก็แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป ไปตั้งบริษัทมีทุนรอนมากขึ้น นากจากเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากบุตรชายผู้เผด็จการทรูจิลโลแล้ว นายมูนโยสก็ไปหมุนเอาเงินจากที่อื่นมาเหมือนกัน เงินของตนเองบ้าง และเงินที่ขอยืมมาจากที่อื่นบ้าง เมื่อตั้งแบงก์ขึ้นแล้วนายมูนโยสก็ยืมเงินจากแบงก์ที่ตัวเองตั้งขึ้นเอง ตลอดจนแบงก์ที่ตัวเอาเงินไปฝากนั้นเอง ออกมาทำกิจการเป็นการใหญ่ กิจการของนายมูนโยสนั้นก็คือเอาเงินไปลงทุนในที่ดินในยุโรปเป็นจำนวนมากมายมหาศาลทีเดียว ก็คงจะทำคล้าย ๆ กับที่บอกไว้ในเมืองไทยนี่แหละครับ ต่อมาตลาดที่ดินในยุโรปเกิดซวดเซลง ราคาที่ดินตกต่ำ นายมูนโยสไปลงทุนไว้ในที่ดินมากก็เกิดความหายนะ กิจการก็ไม่สามารถที่จะดำเนินไปได้ เมื่อเดือนที่แล้วธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์สองธนาคารซึ่งเป็นธนาคารที่นายมูนโยสนำเงินไปฝากนั้น ได้ขออนุญาตรัฐบาลระงับกิจการของตนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อชำระสะสางหนี้สิน แล้วก็เพื่อปรับกิจการให้เข้าสู้เสถียรภาพที่จะเปิดดำเนินการได้ และต่อมาในเดือนพฤษภาคม ธนาคารที่นายมูนโยสเป็นผู้ตั้งขึ้นเองที่กรุงโรม ก็ขอระงับกิจการหนี้สินของตนเป็นเวลาหนึ่งปี โดยขออนุญาตจากรัฐบาลเช่นเดียวกัน ต่อมาอีกเพื่อนของนายมูนโยสซึ่งเป็นประธานธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งนายมูนโยสนำเงินไปฝากไว้ และเป็นกรรมการธนาคารของนายมูนโยสที่กรุงโรม ด็ถูกตำรวจจับในข้อหาฉ้อโกง และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง ตำรวจสวิสเซอร์แลนด์ก็จับนายมูนโยสเช่นเดียวกันในข้อหาว่าฉ้อโกง นอกจากนั้นแล้ว เพื่อนของนายมูนโยสอีกคนหนึ่งซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญมากในสวิสเซอร์แลนด์ คือเป็นกรรมาธิการควบคุมกิจการธนาคารของสวิสเซอร์แลนด์นั้นก็ถูกรัฐบาลสั่งพักจากตำแหน่งนั้น เพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสวิสเซอร์แลนด์ได้แถลงต่อหนังสือพิมพ์ว่ามีความสงสัยว่า เพื่อนนายมูนโยส คือประธานกรรมาธิการควบคุมกิจการธนาคารคนนี้อาจปฏิบัติไม่ครบถ้วนหน้าที่ที่รับบาลได้มอบหมายให้ เพราะเห็นแก่ประโยชน์ของนายมูนโยสก็ได้ นี่ก็เป็นเรื่องของคน ๆ หนึ่งซึ่งเคยเข้ามาในเมืองไทย แล้วก็จะมาขอรับมอบจากจากรัฐบาลไทยเพื่อเอทุนรอนมาลง แล้วผลที่เขาทำไป มันก็กลายเป็นเรื่องฉ้อโกงไปทั้งสิ้น เมื่อนายมูนโยสมาเมืองไทยนั้น เท่าที่ผมสดับตรับฟังอยู่ ก็ยังรู้สึกว่ามีคนเลื่อมใสนายมูนโยส มากเหมือนกัน เพราะเห็นเงินของเขาเข้า ก็นึกว่าเงินนั้นมันจะมีอำนาจอะไรต่ออะไรให้เกิดขึ้นได้มาก นอกจากจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองแล้วก็ยังจะเกิดผลประโยชน์แก่ตัวบุคคลซึ่งติดต่อกับนายมูนโยสได้บ้างกระมัง ผมก็ไม่ทราบ ก็มีผู้เอออวยเห็นด้วยอยู่เหมือนกัน แต่โชคของเมืองไทยยังดี ที่รัฐบาลในสมัยนั้นประชุมกันแล้วก็ไม่เอาด้วย นายมูนโยสก็ต้องไปจากเมืองไทย ท่านผู้อ่านก็ลองคิดดูก็แล้วกันครับ สวิสเซอร์แลนด์นั้นเขาเป็นประเทศเล็กมีพลเมืองก็ไม่มากเท่าประเทศไทย แต่ว่าฐานะการเงินของเขาดีมาก เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วโลก เพราะฉะนั้นการธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์ขอระงับกิจการไปชั่วคราวเพราะไม่สามารถจะจัดการหนี้สินทรัพย์สินให้เข้ารูปเข้ารอยกันได้นั้น ก็ไม่ได้ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของสวิสเซอร์แลนด์กระทบกระเทือนเท่าไหร่หรืออย่างใดหรอกครับ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปในสวิสเซอร์แลนด์ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องเสียหายมากเหลือเกิน เพราะธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์นั้นเขาถือกันตลอดมาว่า เป็นระบบการธนาคารที่มั่นคง ไม่มีความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น ตลอดจนข้าราชการในสวิสเซอร์แลนด์ก็มีชื่อเสียงในความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยปรากฏว่าทำงานเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างหนึ่งอย่างใด แต่นายมูนโยสเข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็ทำให้เกิดความสงสัยกันทั่วไป ประการแรกก็ทำให้สงสัยว่าระบบการธนาคารของสวิสเซอร์แลนด์นั้นมันเป็นอะไรหรือ เรื่องเช่นนี้จึงเกิดขึ้นได้ และในประการที่สอง ก็คือว่าผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์นั้นไม่เคยเสียหายมาก่อนเลย แต่คราวนี้เกิดเป็นอะไรจึงได้พลั้งเผลอบกพร่องในหน้าที่ถึงกับทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นได้เช่นนี้ ลองกลับมานึกถึงประเทศไทยดูบ้าง ระบบการเงินการธนาคารของเรา พูดตรง ๆ ก็เรียกว่ายังอ่อนไม่แข็งแรงอย่างของสวิสเซอร์แลนด์เขา แล้วก็คนไทยหรือประเทศไทยก็ไม่ใช่ว่าจะร่ำรวยมหาศาลในทางการเงินการทองอะไร และเป็นประเทศที่ไม่ได้อยู่ในวงการค้าของโลกชั้นนำและวงการเงินของโลกอย่างสวิสเซอร์แลนด์ หากว่านายมูนโยสได้เข้ามาผุกขาดได้จริงในตอนนั้น หรือมารับมอบไปจากรัฐบาลเพื่อจะพัฒนาเมืองไทยทางด้านเศรษฐกิจหรือทางด้านอุตสาหกรรมแล้ว ถ้าหากว่ามาพลาดท่าพลาดทาง เกิดมาคดโกงกันขึ้น หรือเกิดมาทำความเสียหายในทางการเงินขึ้นแล้ว คิดดูเดี๋ยวนี้ก็แล้วกันครับว่าเมืองไทยจะเป็นอย่างไร เราจะต้องกระทบกระเทือนอย่างมากทีเดียวในทางเศรษฐกิจและในทางการเงิน เพราะที่นายมูนโยสเข้ามาขอครั้งนั้น เข้ามาขอผูกขาดการค้าและอุตสาหกรรมมาสกมายหลายอย่างเหลือเกิน มาขอผูกขาดเมืองไทยหากินกันทีเดียว โดยอ้างว่าจะนำความเจริญมาให้ ถ้าเราไม่คิดหน้าคิดหลัง ปล่อยนายมูนโยสไปตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว ถึงวันนี้หรือเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ นายมูนโยสก็คงจะทำความหายนะล่มจมให้เกิดแก่เมืองไทยได้ ก็นี่แหละครับมันก็เข้ากับสุภิตโบราณที่ว่า “คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ” หน้าตาของนายมูนโยสจะเป็นอย่างไร ผมก็ไม่ทราบครับ ไม่เคยพบปะกันเป็นส่วนตัว เห็นในหนังสือพิมพ์ก็คลับคล้ายคลับคลา แต่ว่าเงินทองของแกก็คงจะมีมากในขณะนั้น เพราะนอกจากแกจะเป็นคนมีฐานะดีแล้ว แกยังไปได้เงินที่ลูกชายผู้เผด็จการของประเทศโดมินิกันให้มามากมาย ทำให้เครดิตของนายมูนโยสดีขึ้น จนกระทั่งคนที่เห็นเงินที่แกพกเข้ามาก็ชักจะเอออวย เลื่อมใสไปด้วยพักหนึ่ง เคราะห์ดีที่คนไม่เห็นเช่นนั้นทัดทานกันไว้ เรื่องมันก็ระงับไป เมืองไทยก็ไม่ต้องรับเคราะห์รับกรรมอะไร นี่เรียกว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของเมืองไทยครับ เป็นเรื่องที่เราผ่านมาได้โดยไม่มีผลร้าย ท่านผู้อ่านก็น่าจะทราบไว้ เมืองไทยเราก็ปลอดอะไรมาหลายอย่างละครับ มีท่าว่าอะไรมันจะไม่ดี ในที่สุดมันก็ปรับตัวไปเอง หายไปเอง ดูเหมือนกับว่าเมืองไทยมีอะไรคุ้มครองอยู่อย่างนั้น ผมก็ไม่ทราบแน่ว่าอะไรมันจะคุ้มครองละ แต่ก็ดูรู้สึกว่าปลอดภัยมาได้แปลก ๆ หลายอย่าง กรณีนายมูนโยสนี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง คือไม่ได้ถลำเข้าไปเกี่ยวกับนายมูนโยส ถึงกับจะก่อให้เกิดความเสียหายอะไรขึ้น ก็เป็นเรื่องที่น่าจะรู้ไว้ หรืออย่างน้อยก็รู้ไว้จะได้ดีใจครับว่า อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องฉิบหายไปกับนายมูนโยส” ( “เพื่อนนอน” 13 มิถุนายน 2508)