แสงไทย เค้าภูไทย
ปีใหม่ฟ้าเมืองไทยยังไม่ใหม่ตามปี บรรยากาศยังขุ่นๆมัวๆ ทั้งความหวาดระแวงทางการเมือง ปัจจัยลบทางเศรษฐกิจมีมาก ด้านสังคมวิกฤตการณ์ผ้าเหลืองกลายเป็นระเบิดเวลาไปอีกครึ่งปี
แม้กฎหมายลูกรัฐธรรมนูญที่มีแต่เงื่อนตายผูกมัดนักการเมืองจะผ่านไปด้วยดี แต่ก็ไมได้หมายถึงการยอมรับ โดยดุษฎีของนักการเมืองมืออาชีพ
เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง ตราบนั้นคลื่นใต้น้ำจะยังคงเคลื่อนตัวอยู่
ด้านเศรษฐกิจ ปีนี้มีแต่ปัจจัยเสี่ยง ทั้งภายนอก ภายใน
จากภายนอกจะมีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศคู่ค้า เมื่อว่าที่ประธานาธิบดีโดแนลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น
ส่งออกไทยติดลบค่อนปี เพิ่งมาดีเอา 2 เดือนสุดท้าย จะถดถอยกลับไปอีก คาดว่าอาจหดลงไปถึง 10%
ด้านสังคม ความธรรมกายยังไม่ทันหาย ความสังคายนากฎหมายสงฆ์ก็เข้ามาแทรก
มองตามเกมว่า เป้าหมายอยู่ที่การแต่งตั้งสมเด็จช่วงฯ เป็นพระสังฆราช
ฝ่ายคัดค้านเห็นว่าจะเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งบาดหมางในหมู่สงฆ์ระหว่างมหานิกายกับธรรมยุต
ฝ่ายสนับสนุนก็ว่าเป็นการดีที่จะได้พระสังฆราชพระชนมายุน้อยมาปฏิบัติหน้าที่
เพราะถ้าใช้อาวุโส ไม่ว่าจะด้วยพรรษาหรือด้วยอายุ พระราชาคณะชั้นสมเด็จที่มีอาวุโสสูงสุดที่อยู่ในข่ายได้เป็นพระสังฆราชนั้น อายุล้วนเกิน 80 ทั้งสิ้น
บางรูปทนรอไม่ไหว ชิงมรณภาพเสียก่อน อย่างสมเด็จพระพุฒาจารย์เกี่ยว อุปเสโณ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแทนสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกที่ประชวรหนักอยู่
วันนี้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง วรปุญโญ อยู่ในข่ายได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ท่ามกลางแรงต้าน
เพราะมีปัญหาทางกฎหมายเรื่องครอบครองรถเบนซ์โบราณ และความสัมพันธ์กับวัดพระธรรมกาย
กว่าจะสะสางล้างมลทินหมดก็คงจะเมื่อมีรัฐบาลใหม่
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายยกตัวอย่างในอดีตว่าประเทศไทยเคยว่างเว้นจากการมีพระสังฆราชถึง 10 ปีมาแล้ว
ถ้าหน่วงกันได้นานขนาดนั้น สมเด็จช่วงน่าจะไม่อยู่รอ เพราะปีนี้อายุท่าน 92 ปีแล้วและยังอาพาธบ่อย
การที่พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับแก้ไขใหม่ว่าด้วยการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชที่ เสนอแก้ไขมาตรา 7 โดยให้ใช้ข้อความว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
จากเดิมที่เป็นการเสนอชื่อโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมโดยคำนึงถึงความอาวุโสในสมณศักดิ์เป็นเกณฑ์
สมเด็จ 20 รูปในคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ทุกองค์มีสิทธิได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่
ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชประจำรัชกาล
สำหรับด้านเศรษฐกิจที่เป็นจุดเปราะบางของรัฐบาลคสช. ปี 60 สำนักเศรษฐกิจหลายแห่งพยากรณ์ไม่ตรงกัน
บ้างว่าครึ่งปีแรกจะยังมีอาการเมาค้างไปจากปีที่หมดไป แต่จะไปดีครึ่งหลัง
บ้างว่า ไม่ดีไปจนถึงกลางปีหน้า
เพราะแม้จะเห็นด้วยกับฝ่ายที่ว่าครึ่งปีแรกเศรษฐกิจจะยังติดเชื้ออาการชะลอตัวจากปี 59 ไปอีกระยะหนึ่ง
ส่วนจะให้ไปดีเอาครึ่งปีหลังนั้น ยังไม่เห็นหนทาง
เพราะตัวการเปลี่ยนแปลงโลกในวันนี้คือโดแนลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่จะสาบานตนรับตำแหน่งวันที่ 20 ม.ค.นี้
เขาประกาศจะขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐอีก 35-45% ของอัตราภาษีที่เก็บกันอยู่ในอัตราปัจจุบัน
คำนวณกันว่า ด้วยอัตราภาษีนี้ มูลค่าส่งออกของไทยจะลดลงไปถึง 10%
เพราะอเมริกาเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย
นอกจากได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปสหรัฐโดยตรงแล้ว ยังได้รับผลกระทบทางอ้อมอีกด้าน คือการส่งออกไปจีน ตลาดใหญ่อันดับ 2 ของไทย
มาตรการกีดกันทางการค้าด้วยการตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์เป้าหมายเพื่อต่อต้านสินค้าจีนเป็นหลักโดยเฉพาะอัตราภาษีนำเข้าจากจีนนั้น ตั้งเป้าหมายเก็บถึง 45%
เมื่อจีนส่งออกลดลง การนำเข้าสินค้าประเภทวัตถุดิบจากไทยเช่น แป้งข้าว ยางพารา น้ำมันปาล์ม มันสำปะหลัง น้ำตาลทรายฯลฯ ก็ย่อมจะลดลงเป็นลูกโซ่
นอกจากเกิดสงครามการค้าด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าแล้ว ยั
มีอีกปัจจัยสมทบ นั่นคือราคาน้ำมันดิบ
ชาติส่งออกน้ำมันดิบ ทั้งโอเปกและนอกโอเปกตกลงกันได้เรื่องลดกำลังผลิตเริ่มแต่มกราคมนี้เป็นต้นไป ราคาน้ำมันจึงแพงมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว
ต้นทุนพลังงานของเราก็จะเพิ่มตาม
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ขึ้นไปแล้วเมื่อกลางเดือนธันวาคม และคาดว่าจะขึ้นอีก 2-3 ครั้งในปีนี้ อันจะยังผลให้ค่าดอลลาร์สหรัฐแข็ง ค่าบาทอ่อน เป็นผลดีต่อการส่งออก
แต่กูรูเศรษฐกิจอเมริกาบอกว่า อาจจะเป็นตรงกันข้าม เพราะรูปแบบของทรัมโปโนมิกส์จะเป็นเหมือนเรแกนโนมิกส์ คือดอกเบี้ยต่ำ ภาษีเงินได้บุคคลและนิติบุคคลลด
จูงใจให้มีการลงทุนในประเทศ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
เราคงไม่ได้อานิสงส์ในส่วนนี้ เพราะแม้การบริโภคจะได้แรงจูงใจด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ
คนอเมริกันรูดเครดิตการ์ดกันเพลิน
แต่สินค้าไทยเข้าอเมริกาปีนี้ ภาษีนำเข้าเพิ่ม จะทำให้ราคาแพงขึ้นมาอีก 10-15% คงขายไม่ได้มาก
ที่ว่าครึ่งปีหลังจะดี จึงน่าจะไม่ดีตามที่