จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหรือไม่ ก็ยากจะคาดเดา เมื่อ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคพลังประชารัฐอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในช่วงนี้ จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศผลการนับคะแนนการเลือกตั้งส.ส.อย่างเป็นทางการ 100 เปอร์เซ็นต์ ออกมาก็ชัดเจนว่า คะแนนรวมของพรรคพลังประชารัฐ มาแรงแซงพรรคเพื่อไทย ชนิดที่ทิ้งห่างหลายช่วงตัว
โดย พรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนทั้งสิ้น8,433,137 คะแนน ขณะที่พรรคเพื่อไทยเองได้ 7,920,630 คะแนน
ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้แกนนำพรรคพลังประชารัฐ มั่นใจได้ว่า พรรคจะเป็น “แกนหลัก” ในการจัดตั้งรัฐบาลมีชัยเหนือ พรรคเพื่อไทยที่ชิงจังหวะจับมือ “5พรรค” ประกาศตั้งรัฐบาลไปก่อนหน้าที่กกต.จะประกาศผลการนับคะแนนออกมาอย่างเป็นทางการ
ตัวเลขผลคะแนนจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็น “เงื่อนไข” ที่จะสร้างความชอบธรรม ให้กับทุกๆฝ่ายที่ต้องการใช้คะแนนเป็นตัวอธิบาย และชิงธงในการตั้งรัฐบาล แต่ขณะเดียวกัน ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่อึมครึม อึดอัด หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงไป กำลังจะกลายเป็น “ปัจจัย” ที่ทำให้ฝ่ายการเมืองเกิดความหวั่นไหว อยู่ไม่น้อยว่า ที่สุดแล้ว การเมืองจะไม่จบลงที่การเลือกตั้งเท่านั้น !
การประกาศผลการนับคะแนนจากกกต. เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมานั้นต้องถือว่าเร็วขึ้นจากเดิมที่กกต.เองเคยกำหนดเอาไว้เป็นวันที่ 29 มี.ค.จนทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า กกต.โดนกดดันอย่างหนัก จากรอบทิศรอบทาง ไปจนถึงขั้นที่มีการล่าชื่อเพื่อถอดถอน กกต. ได้มากถึงหลายแสนคนจนเกิดเป็นปรากฎการณ์ที่ทำให้กกต.ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก กลายเป็นฝ่ายโดนตรวจสอบเสียเอง
ทั้งนี้ การตั้งรัฐบาลจากขั้วพรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ที่แม้จะมีการร่วมลงสัตยาบันกันไปเรียบร้อยแล้ว ในท่ามกลาง “กองทัพสื่อ” ที่มาเป็นสักขีพยานในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา อาจยังไม่ได้ “คำตอบสุดท้าย” เพราะลึกๆแล้ว พรรคเพื่อไทยเองก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ว่า จะมี “งูเห่า” เกิดขึ้นในเห็นในการโหวตเลือกนายกฯในสภาผู้แทนฯ หรือไม่
ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า แม้พรรคพลังประชารัฐ จะได้คะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นคะแนนป๊อปปูล่าโหวต ที่มากกว่า 8 ล้านคะแนน ซึ่งพรรคพลังประชารัฐชูเป็นความเป็นชอบธรรมมาโดยตลอด ก็ตาม แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า บรรยากาศการเมือง “นอกสภา” ที่หลายต่อหลายฝ่าย กำลังจับตามองด้วยความเป็นกังวล ว่าจะไหวกระเพื่อมขึ้นมาหรือไม่
เมื่อความพ่ายแพ้ของอีกฝ่ายหนึ่ง ถูกตั้งคำถามถึง “ความชอบธรรม” ที่ตนเองพึงจะได้รับ ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ถูกกดดันกลับไปสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ หลังการเลือกตั้งยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
และนี่คือ “มรสุมลูกใหญ่” ที่ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และกองทัพกำลังจับตามอง ด้วยใจจดจ่อ !