รศ. ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์/มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สงคราม หรือ การต่อสู้ ยิ่งดุเดือด ร้อนแรง สูสี มากเท่าไร? ตัวแปรที่จะเข้ามามีอิทธิพลมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ยุทธวิธี (Tactics) แล้วยิ่งเป็นสงครามการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้ง 2562 ที่มีแต่หักไม่มีงอ แพ้ไม่ได้...ต้องชนะลูกเดียว จึงยิ่งอุดมไปด้วยยุทธวิธี จริงหรือ ? ยุทธวิธีทางการเมือง อันเป็นสุดยอดแห่งกลยุทธ์ที่นักการเมืองใหญ่น้อยต่างต้องเสาะแสวงหา แม้ต่อให้ต้องถล่มแผ่นดิน คว่ำแผ่นฟ้า ไม่เว้นแม้แต่ต้องพลิกแผ่นน้ำ หากกลยุทธ์สามารถเพิ่ม แต้มต่อ จนทำให้การพิชิตชัยในสมรภูมิการเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นแล้ว ก็นับเป็นเรื่องคุ้มค่าที่ต้องทำ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เลือกตั้ง 2562 พรรคการเมืองต่างๆ จะนำยุทธวิธีที่หลากหลายมาประยุกต์ใช้ในสมรภูมิการเลือกตั้ง การเมืองยุคการตลาดการเมือง ซึ่งผู้สมัครเลือกตั้ง มักจะประยุกต์ใช้ สื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) เช่น Facebook Twitter Instagram เป็นช่องทางในการโปรโมตด้วยตนเอง การที่พรรคการเมืองต่างสื่อสาร เน้นจุดแข็งปิดจุดอ่อน (Play to your strengths and minimize your weakness) ของคู่แข่ง เช่น เพื่อไทยชูจุดแข็งด้านเศรษฐกิจ กรณีพรรคต่างๆ โจมตีพรรคพลังประชารัฐ เรื่องการสืบต่ออำนาจของ คสช. การใช้หลักการตลาดมาประยุกต์ใช้ในการแบ่งจำนวนประชากร และนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่จะทำให้ได้ฐานคะแนนนิยม โดยจำนวนผู้มีสิทธิในการเลือกตั้งในปี 2562 มี 52.38 ล้านคนโดยประมาณ ซึ่งเมื่อจำแนกเป็นอาชีพ พบว่า ภาคเกษตรถึง 13.36 ล้านคน ภาคขายส่ง 6.34 ล้านคน ภาคการผลิต 5.87 ล้านคน ภาคที่พักแรม 2.68 ล้านคน ภาคก่อสร้าง 2.11 ล้านคน และภาคอื่นๆ เช่น ราชการ การขนส่ง การศึกษา และสุขภาพเป็นต้น รวมๆกันประมาณ 5.4 ล้านคน ขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 12.92 ล้านคนที่ไม่อยู่ในช่วงกำลังแรงงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังเรียน และกลุ่มผู้สูงอายุ แล้วหากจำแนกตามวัยจะพบว่า อายุ 18 26 ปี จำนวน 8,335,242 คน อายุ 27-35 ปี 8,383, 933 คน อายุ 36-50 ปี จำนวน 15,590,716 คน อายุ 51-65 ปี จำนวน 12,459,866 คน และอายุ 66 ปีขึ้นไป 6,956,569 คน จากตัวแปรด้านอาชีพและอายุ ทำให้เกิดการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ส่วนใหญ่นั้น จะมุ่งสร้างคะแนนนิยมในกลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้ใช้แรงงาน และผู้สูงอายุ ซึ่งมีประชากรจำนวนมาก หรือแม้แต่การสร้างภาพลักษณ์และบุคลิกภาพที่แตกต่างให้แก่หัวหน้าพรรค คือ การสร้างความนิยมต่อตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมือง ให้มีความเป็น พระเอก หรือ นางเอก แต่ความเป็นพระเอกหรือนางเอกในสังคมไทยนั้น มีความหลากหลายอยู่พอสมควรในยุคปัจจุบัน อาทิ บุคลิกแบบวีรบุรุษ หรือวีรสตรีที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชนให้หลุดพ้นปัญหาและความทุกข์ยาก บุคลิกแบบแนวนักเลง กล้าสู้ กล้าชนผู้มีอำนาจรัฐ บุคลิกแบบการเป็นคนหนุ่ม ความคิดดี การศึกษาดี บุคลิกที่ถูกผู้มีอำนาจรังแกเอาเปรียบ หรือเป็นนางเอกเจ้าน้ำตา เพื่อเรียกคะแนนสงสาร หรือแม้แต่บุคลิกของผู้เสียสละที่ยอมกลืนน้ำลาย เพื่อชาติ นี่คือ ยุทธวิธีทางการเมืองเพียงบางส่วนที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการเลือกตั้ง 2562 แต่อย่างไร ก็ตามสิ่งที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็คือ นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งมีลักษณะเกทับ บลั๊ฟแหลก ไม่ว่าจะเป็น พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเสนอจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 425 บาท และผู้จบปริญญาตรีให้เงินเดือน 20,000 บาทต่อเดือน พรรคประชาธิปัตย์ เสนอการประกันรายได้เกษตรกรและแรงงาน 1.2 แสนบาทต่อปี และปรับเงินสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 800 บาท พรรคเพื่อไทย นำเสนอการเปลี่ยนเงินหวยเป็นเงินออม ด้วย สลากการออมแห่งชาติ หรือ หวยบำเหน็จ การยกเลิกวีซ่านักท่องเที่ยวจีน แก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก หรือแม้แต่การ ปรับหนี้ เติมเงิน ลดภาษี สร้างเศรษฐีใหม่ จบปริญญาตรีให้เงินเดือน 1.8 หมื่นบาทต่อเดือน หรือแม้แต่ พรรคอนาคตใหม่ นำเสนอ ไฮเปอร์ลูป หรือเทคโนโลยีการขนส่งรูปแบบใหม่ โดยไฮเปอร์ลูป ประกอบด้วย 1. ระบบรางคู่ 2. รถเมล์ไฟฟ้า ซึ่งจากผลการศึกษาจะสร้างรายได้ทั้งทางตรง ทางอ้อม และอื่น ๆ รวม 713,685 ล้านบาท และจ้างแรงงานรวมทั้งสิ้น 183,780 ตำแหน่ง กรอบระยะเวลาในการศึกษาพัฒนาไฮเปอร์ลูปสามารถเริ่มต้นในปี 2019 (2562) และเริ่มใช้งานได้จริงในปี 2030 (2573) ทั้งหมดนี้ คือ ภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมถึงการต่อสู้ทางการเมือง กรณีเลือกตั้ง 2562 ซึ่งแพ้ไม่ได้ ต้องชนะลูกเดียว ซึ่งหากต่างฝ่ายต่างมุ่งต่อสู้ทางการเมืองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย งัดยุทธวิธีต่างต่างนานา โดยเฉพาะการนำเสนอ นโยบายแบบเกทับ บลั๊ฟแหลก โดยไม่คำนึงถึงการนำไปปฏิบัติได้จริงแล้ว ก็จะส่งผลทำให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกหลอกลวง จนอาจลุกลามทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยก็เป็นได้... แล้วบทสรุปสุดท้ายของการต่อสู้ในการ เลือกตั้ง 2562 : แพ้ไม่ได้ ต้องชนะลูกเดียว คงมีจุดจบแบบเดิมเดิมเหมือนที่ผ่านมา ก็คือ เป็น การต่อสู้ทางการเมือง บนความพ่ายแพ้ของประชาชนอีกจนได้..!!