เมื่อตัดสินใจโดดลมาสู่สนามการเมืองแล้ว ไม่มีหรอกที่จะไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัว จะเจ็บมาก หรือเจ็บน้อยแค่ไหน สุดท้าย ก็ขึ้นอยู่กับ "ขนาดหัวใจ" ว่าใครจะสามารถทานทนได้มากกว่ากัน !
การที่ "บิ๊กเนม" ระดับ "หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์" ประกาศชัดเจน ว่า "ไม่เอาลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) ในฐานะแคนดิเดตนายกฯที่ "พรคพลังประชารัฐ" ส่งเข้าชิง แต่งานนี้แทนที่พล.อ.ประยุทธ์ จะสะเทือน กลับกลายเป็นว่าอภิสิทธิ์ ต้องเจอแรงเสียดทานเสียเอง
และที่น่าสนใจไปกว่านั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อท่าทีของอภิสิทธิ์ ภายหลังจากที่ประกาศไม่หนุนพล.อ.ประยุทธ์ กำลังสะท้อนภาพให้เห็นชัดเจนว่า นอกจากจะไม่ขานรับกับอภิสิทธิ์ แล้วยังเผยกันชัดๆว่า "ใคร" หนุนไม่หนุนพล.อ.ประยุทธ์ กันบ้าง
ขณะที่เจ้าตัว กลับไม่ได้ให้น้ำหนักเพราะรู้ดีว่า จากนี้เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน จะถึงวันเลือกตั้ง 24 มี.ค. การเร่งเดินหน้าทำคะแนน คือความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่าการลงไปเปิดวิวาทะกับฝ่ายการเมือง
ดังนั้นจึงอย่าได้แปลกใจหากจะพบว่า นอกจากการเดินสายลงพื้นที่พบปะกับพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ยังใช้ "ทุกเวที" ในฐานะนายกฯ บริหารจัดการความเชื่อมั่น ไปพร้อมๆกับการ "ทำคะแนน"
" ผมสัญญาว่า จากนี้ต่อไปผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ผมคิดว่าจะต้องมีคนที่ต้องนำพาประเทศชาติไปตรงโน้น ไปด้วยความรับผิดชอบ ด้วยจิตสำนึก ด้วยเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เข้ามาทำอะไรต่างๆสักอย่างด้วยวัตถุประสงค์อื่น ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น" พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์สื่อภายหลังจากเดินทางไปรับฟังการบรรยายของผู้แทนพิเศษระหว่างประเทศ เรื่องการเปลี่ยนแปลงโลก บรรยายโดย Mr Salim Ismail ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเย็นวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายประเมินกันถึงท่าทีและพฤติการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นได้แปรเปลี่ยนจาก "อดีตนายทหาร" ไปสู่ "นักการเมือง" เรียนรู้ และซึมซับความเป็นนักการเมือง จากบรรดานักการเมืองที่แวดล้อมนั่นเอง จนกลายเป็นว่า ระยะเวลากว่า 5ปีได้บ่มเพาะ และทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถ "ปรับโหมด" ไปสู่นักการเมือง ได้มากกว่า "นายทหารรุ่นพี่" ที่เคยทำการรัฐประหารที่ผ่านมาในอดีต
อย่างไรก็ดี การปรับโหมดของพล.อ.ประยุทธ์ นั้นมีขึ้นมาก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังต้องไม่ลืมว่า "กุนซือ" ที่แวดล้อมพล.อ.ประยุทธ์ ใช่ว่าจะมีแต่ "นักการเมือง" หากแต่ "ทีมเสธ." คืออีกหนึ่งของที่มาในการตัดสินใจหลายต่อหลายเรื่อง นอกจาก "พี่ใหญ่"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม และ "พี่รอง" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และนี่คือที่มาของการตัดสินใจ ที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ขึ้นเวทีปราศรัยให้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ที่โคราช ในวันที่ 12 มี.ค.นี้ เพราะหลังจากประเมินแล้วว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" !