สถาพร ศรีสัจจัง
ข่าว “ขบวนบวชพระภิกษุ” กรีฑาทัพสำแดงความโกรธแค้นแบบกักขฬะถล่มบุคลากร และนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ฝั่งธนบุรีช่วงปลายเดือนกุมภาพนธ์ ปีกุล (2562) ควรจะเป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทยหน้าหนึ่งที่พึงบันทึกไว้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่สำแดงคุณภาพใหม่ทางจริยธรรมของสังคม
คือเปลี่ยนผ่านจากสังคมเมตตาเอื้ออารีย์ อบอุ่นอ่อนโยนต่อกัน ที่ได้อิทธิพลจากวัฒนธรรมเชิงพุทธมาอย่างยาวนาน เปลี่ยนสังคมขุ่นเคืองโกรธแค้นและหยาบกระด้างรุนแรงแบบสังคมถือประโยชน์ตนเป็นใหญ่ พวกใครพวกมันจากอิทธิพลด้านลบของระบบทุนบริโภคนิยม
ปรากฏการณ์ “บุกถล่ม” โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ของ “กลุ่มคนมาบวชพระ” ที่ถูกสื่อมวลชนสมัยใหม่ใช้สรรพนามต่างๆนานาเรียกขาน ไม่จะเป็น “พวกกุ้ยสารเลว” หรืออื่นๆเพื่อความสาแก่ใจต่อพฤติกรรมสามานย์ ไม่รู้กาละเทศะครั้งนี้ชี้ปมอันตรายให้แก่ “สังคมไทย” ของพวกเราทุกคนบ้าง?
ชี้ว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่มุ่งนำพาประเทศไปสู่ความทันสมัย (Modernization) บรรลุเป้าหมายอย่างดีเยี่ยมใช่ไหม?
ชี้ว่า คณะ คสช.ของท่านนายกฯลุงตู่ที่ลงทุนลงแรงเสี่ยงทำรัฐประหารมาปกครองประเทศไทยเพื่อ “แก้ปัญหาวิกฤติและเพื่อปฏิรูปสังคม” บรรลุผลแล้วใช่ไหม?
หรือนี่คือภาพชิมลางเบื้องต้นของสิ่งของสิ่งนายกฯลุงตู่เรียกว่า “สังคมไทย 4.0”
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นง่ายๆเพียงว่า คนหนุ่มคนหนึ่งตั้งใจจะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เมื่อถึงเวลาก็ยกขบวนกันมาวัดตามธรรมเนียมประเพณี โดยมีกิจกรรมเฉลิมฉลองสมโภชน์ตามนิยม คือมีคณะกลองยาวประโคม มีการร้องรำดีดดิ้นกันตามสมัยนิยม ญาติพรรคพวกมิตรสหายของคนจะบวชพระก็มา “ช่วยงาน” เพื่อ “เอาบุญ” กันไม่น้อย แน่ละในกลุ่มคนเหล่านั้นย่อมมีผู้นิยมความมึนเมาร่ำสุราร่วมวงอยู่ด้วย ยิ่งดื่มก็ยิ่งสนุก วัดก็เลยกลายเป็นเหมือนคลับบาร์หรือเวทีรำวง
เริ่มสนุกครึกครื้นก็กลับมีคนมาห้าม เผอิญโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดกำลังมีกิจกรรมคือ การสอบครั้งสำคัญ จึงประสานวัดให้ช่วยแจ้งคณะบวชห้ามใช้เสียงดังรบกวน
ท่านเจ้าอาวาสผู้จะเป็นอุปัชฌาจารย์ก็แจ้งให้เพียงเท่านี้, ความไม่พอใจขุ่นเคืองของบรรดา “โจ๋” หัวร้อนทั้งหลายก็ทะลักหลั่ง!!
หัวโจกฝ่ายนำที่ฟังว่า อายุอานามก็ปา 33 ปีเข้าแล้วที่น่าจะมีวุฒิภาวะ รู้กาละเทศะ รู้อะไรควรไม่ควร ก็นำพวกกรีฑาทัพเข้าถล่มโรงเรียนทันที เจอผอ. ก็อัดผอ. เจอคนยามก็ชกหน้าถีบเตะ เจอภารโรงก็รุมสกรัมฯลฯ
ครูบาอาจารย์ที่คุมสอบจะทำอะไรได้? นอกจากจะบอกเด็กๆหญิงชายเยาวชนของชาติว่ารีบหนีตายเอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมันกันเถิด ความวิจลอลหม่านก็เกิดขึ้นทุกห้องสอบ ฟังตามข่าวเล่าว่าเจ้าตัวหัวหน้ากลุ่มกักขฬะถึงขนาดเกิดหื่นแบบหน้ามืดตามัวสามานย์ กระชากเด็กนักเรียนสาวกอดจูบ พร้อมสำราก “มาเป็นเมียพี่ดีกว่า!” หรืออะไรประมาณนั้น
หรือเราจะทำได้แค่เพียงการสำรากประณามทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่กลุ่มนี้ ว่าเลวชาติต่ำช้าสามานย์ ต้องลงโทษขังคุกให้สาสม เพื่อสักวันหนึ่งจะได้ออกกลับสู่สังคมด้วยความสามานย์ที่เข้มข้นยิ่งขึ้นแล้ว พวกเขาเป็นใครกัน? พวกเขาคือผลผลิตของผู้ใหญ่รุ่นก่อนไม่ใช่หรือ? หรือพวกเขาไม่ใช่ผลผลิตของสังคมไทยที่พวกเราทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วย?
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องสาวหาสาเหตุแท้จริงของปัญหาและหาทางแก้กันอย่างลึกซึ้งจริงจังเสียที ไม่ใช่ทำแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด ไม่ใช่ทำแค่บอกว่าเป็นเพียงหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ฯลฯ
ไม่เห็นกันจริงๆหรือว่าต้นเหตุของความล่มสลายทางจริยธรรมของสังคมไทยอยู่ที่ไหน?
ฝากถึงนายกฯลุงตู่ ถึงนักการเมือง พรรคการเมือง ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าด้วยได้ไหม ว่าช่วยชูนโยบายเรื่อง “จริยธรรมของชาติ” ให้ชัดแจ้งกันหน่อยว่าจะ “เอา”หรือจัดการกับปัญหาความล่มสลายทางสังคมเช่นนี้กันอย่างไรบ้าง!!!