อากาศยามนี้ที่ว่าร้อน คงต้องยอมให้กับ "การเมืองไทย" ในช่วงเข้าสู่โค้งสุดท้าย เพราะไม่เพียงแต่ "วิวาทะ" ที่แกนนำ ไปจนถึง "ผู้สมัคร" ของแต่ละพรรคจะเปิดศึกกันชนิดรายวันแล้วเท่านั้น แต่ยังปรากฎว่าในโหมดนี้ "กฎหมาย" ก็ยังไม่ได้เว้นวรรค หรือหยุดทำงานไปด้วย
เวลานี้นอกเหนือไป การที่แต่ละพรรคต่างพากันหยิบยก "นโยบาย" ขึ้นมาหาเสียง ไปจนถึงการส่งตัวแทนไปโชว์วิสัยทัศน์ ตามเวทีต่างๆ ผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็น ประเด็นที่นำมาสู่ข้อวิพากษ์วิจารณ์ และขัดแย้งกันต่อมาแล้วเท่านั้น
แต่ยังกลายเป็นว่า ในระหว่างการออกแอคชั่น ของแกนนำจากบางพรรค ยังนำมาซึ่งการฟ้องร้อง เกิดเป็น "คดีความ" ตามมา
เมื่อ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดี "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส" หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในข้อหาหมิ่นประมาทในนามส่วนตัว
สืบเนื่องจากกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้สัมภาษณ์พิเศษและได้พูดถึง เครื่องหมายติดอยู่บนเครื่องแบบทหารของ พล.อ.อภิรัชต์ ด้วยข้อความไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความเสียหาย ถือเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม รวมถึงยังให้มีการแจ้งความข้อหาดูหมิ่นดูแคลนเจ้าพนักงาน จากกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไล่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และรักษาความปลอดภัย ระหว่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงที่อำเภอเมืองจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา.จนเกิดเป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก
มวยคู่แรกระหว่าง พล.อ.อภิรัชต์ กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กำลังเริ่มนับหนึ่ง ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย
ในเวลาเดียวกัน ยังปรากฎว่า "บิ๊กเนม" ของพรรคอนาคตใหม่ อย่าง พล.อ.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้แชร์ข่าวปลอม ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่า พล.อ.ประวิตร กินกาแฟหรู ด้วยสนนราคาระดับหมื่น และแม้พล.อ.พงศกร จะลบโพสต์ดังกล่าวออกแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะล่าสุดเจ้าตัว ได้รับหมายเรียกในคดีดังกล่าวโดยจะไปเจ้าหน้าที่บก.ปอท. ในวันที่ 11 มี.ค.นี้
นั่นหมายความว่าเวลานี้เสมือนว่าการจับคู่ชกนอกสนามเลือกตั้งได้เกิดขึ้น และกำลังจะกลายเป็น "ชนวน" ที่ถูกนำไปผูกโยงต่อการสร้างความได้เปรียบ เสียเปรียบ สร้างแรงสั่นสะเทือนไปยัง "คะแนนนิยม" ของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งได้โดยปริยาย
ไม่ว่าฝ่ายคสช.หรือกองทัพเอง จะถูกมองว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับฝ่ายการเมืองในช่วงของการหาเสียงจังหวะใกล้วันเลือกตั้ง 24 มี.ค.นั้นจะกลายเป็นการ "สกัดดาวรุ่ง" หรือไม่ก็ตาม แต่งานนี้ดูจะเป็นเรื่องที่จะถูกอธิบายและได้คำตอบ ด้วย "ข้อกฎหมาย" อันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ลำบาก ให้กับ ฝ่ายที่ตกเป็นจำเลย ไปโดยปริยาย
สถานการณ์ทางการเมือง นับวันยิ่งร้อนระอุ โดยมิได้นัดหมาย จะด้วยเป็นเพราะกลอนพาไป หรือเพราะนาทีของการต่อสู้ฟาดฟันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กำลังใกล้ทิ้งทวนมากขึ้นทุกขณะ หรือไม่ ยังไม่นับรวมปรากฎการณ์ที่วันนี้ "สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง" หรือกกต. ไม่เพียงแต่จะเป็นฝ่ายจัดการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นศูนย์รวมเรื่องร้องเรียน ก่อนวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ให้วุ่นวายอย่างที่เห็น !