มีความเห็นในประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ “คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ” จาก “ชูชาติ ศรีแสง” อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุคส่วนตัว Chuchart Srisaeng ระบุว่า
“ฟังหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ แถลงเรื่องที่ถูก กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 ว่า ฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการทำคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ กับมีทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวน
เรื่องนี้มีประเด็นในปัญหาข้อเท็จจริงว่า พรรคไทยรักษาชาติได้ยื่นรายชื่อบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคต่อ กกต.หรือไม่ และชื่อที่ยื่นคือบุคคลใด
กับประเด็นข้อกฎหมายว่า การยื่นรายชื่อนายกรัฐมนตรีต่อ กกต. ดังกล่าว เป็นกระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92(2) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่”
ทว่า ไฮไลต์ที่น่าสนใจ จากสิ่งที่อดีตผู้พิพากษาได้ทิ้งปมเอาไว้ อยู่ที่การตั้งข้อสังเกตว่า ที่สุดแล้วพรรคไทยรักษาชาติ ต้องการประวิงคดีให้ล่าช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาคดีนี้หลังวันที่ 24 มี.ค.นี้หรือไม่ เพราะหากต้องการให้เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าทีมกฎหมายของพรรคจะต้องนำ “พยานบุคคล” และพยานเอกสารมาสืบ
เพราะการประวิงเวลานั้นถือว่ามีความจำเป็นต่อการจัดชบวนทัพของพรรคไทยรักษาชาติอย่างยิ่ง เนื่องจากเวลานี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพรรคไทยรักษาชาติ จะไม่กระทบ ไปถึง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคเพื่อชาติ” โดยปริยาย
ด้วยเหตุที่ ทั้งสามพรรคใน “ตระกูลเพื่อ” นั้นอยู่ในกลยุทธ์ “แตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อย” ใช้วิธีการแยกกันเดินเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน แต่เมื่อทัพรอง อย่างไทยรักษาชาติกระทบ ซึ่งหากมีอันต้องโดนยุบพรรคก่อนการเลือกตั้งขึ้นมาจริง จะส่งผลทำให้ที่นั่งส.ส.ที่จะไปรวมกับ พรรคเพื่อไทยและพรรคเพื่อชาติ หายไปต่อหน้าต่อตาทันที
เพียงแค่เวลานี้แม้จะยังไม่มีคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญออกมาก็ยังเกิดกระแสว่าจะยุบก่อนหรือหลังวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.ขึ้นมาเพื่อ “เขย่า”พรรคไทยรักษาชาติ จนทำให้บรรดาแกนนำทั้งไทยรักษาชาติ ไปจนถึงพรรคเพื่อไทยต้องหาทาง ดื้นรนต่อสู้เร่งทำแต้มเพื่อหวังกวาดที่นั่งส.ส. ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะ 250 เขตเลือกตั้ง ไม่ครบทั้ง350 เขต โดยยืนยันก่อนหน้านี้ว่าไม่ได้ฮั้วกัน ตามที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ตาม
ขณะที่พรรคไทยรักษาชาติ กำลังหาทางต่อสู้ “คดียุบพรรค” ด้วยข้อกฎหมาย แต่ทั้งนี้ก็ต้องทำงานแข่งกันเวลาที่กำลังเริ่มนับถอยหลัง ถึงวันเลือกตั้ง24มี.ค. และหาก “ความชัดเจน” จากคดียุบพรรคยังไม่ปรากฎ สิ่งที่จะเขย่าพรรคการเมืองในขั้วอำนาจทักษิณ ชินวัตร ตามมาทั้งหมด คือความหวั่นไหวของ “ตัวผู้สมัคร” เอง ว่าหากหาเสียงต่อสู้กันไปแล้ว จะมาตายกันตอนจบ ถูกสั่งให้ยุบพรรคหลังการเลือกตั้งหรือไม่
หรือหากคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญมีขึ้นก่อนถึงวันเลือกตั้ง แล้วผลออกมาในทางที่เป็นลบ ก็ย่อมกระทบต่อผู้สมัครอีกเช่นกันว่า จะพากันย้ายพรรคไปอยู่ที่ใด และจะส่งผลต่อการขาดคุณสมบัติหรือไม่
อาการดิ้นรนของไทยรักษาชาติ กำลังดำเนินคู่ขนานไปกับการเคลื่อนไหวของ “ตัวเล่นหน้าเก่า” อย่าง กลุ่มคนเสื้อแดงที่พากันออกมาขยับโจมตีไปยัง “กองทัพ” รับลูกเมื่อภายหลังจากที่ “แกนนำพรรคเพื่อไทย” อย่าง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ชงเสนอนโยบายปฏิรูปกองทัพจนกลายเป็นการปลุกกระแสเกลียดชังทหาร ย้อนไปยังเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ยุค14 ตุลา และดูเหมือนว่าเกมเขย่ากองทัพ กำลังได้ผลอยู่ไม่น้อย !