ทวี สุรฤทธิกุล
สำนวน “ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว” หรือ “โลกนี้คือละคร” ถ้าเราเข้าใจ จะทำให้ชีวิตเรามีความสุขมาก เพราะความเข้าใจนี้จะทำให้เรามีความสุข มองชีวิตอย่างมีความหมายและความหวัง
ช่วงนี้การเมืองไทยดูจะไม่ค่อยน่าตื่นเต้น ในขณะที่รัฐบาล “หนู 1” ได้เข้าบริหารงานอย่างเต็มตัวแล้ว ก็ต้องคอยดูว่าในนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงในสัปดาห์นี้ จะสามารถ “ทำได้” หรือ “ได้ทำ” หรือไม่ โดยเฉพาะการยุบสภาที่ได้ทำ MOA กับพรรคประชาชนไว้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีระกูล ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไว้ ภายหลังจากที่ได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ เมื่อเย็นวันพุธที่ผ่านมานั้นว่า “จะยุบสภาในตอนปลายเดือนมกราคมปีหน้า”
เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ร่วมคณะที่เรียกว่า “ชมรมผู้สูงวัย มสธ.” ซึ่งหมายถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเกษียณราชการกันแล้ว ไปทัศนศึกษา “เปิดหูเปิดตา” กันที่หอภาพยนตร์และพิพิธภัณฑ์อเนก นาวิกมูล ที่อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม สำหรับที่หอภาพยนตร์นั้นได้จัดเทศกาลขึ้นเป็นพิเศษ เรียกว่าว่า “ภาพยนตร์เพื่อผู้สูงอายุ” ซึ่งในวันที่ไปนั้นฉายภาพยนตร์เรื่อง “สันติวีณา” ให้พวกเราได้ชมด้วย ซึ่งพอได้ชมภาพยนตร์ที่ “ร่วมสมัย” กับพวกเราแล้ว ก็ทำให้พวกเราที่ไปชมในวันนั้นกว่า 20 ชีวิต มีความกระชุ่มกระชวย และมีความหวังว่าชีวิตนี้ยังน่าอยู่ ซึ่งก็คือเพื่อที่จะอยู่ดูว่า “ลูกหลานของเราจะอยู่กันต่อไปอย่างไร” เพราะภาพยนตร์ “เก่า ๆ” รวมถึง “ของเก่า ๆ” ที่เราได้ไปชมต่อไปในพิพิธภัณฑ์เอนก นาวิกมูล ได้ “สะกิด” ให้พวกเราเกิดความรู้สึกไปถึงสิ่งที่สร้างพวกเราตั้งแต่อดีตกาลนั้น
ภาพยนตร์เรื่องสันติวีณา สร้างเมื่อ พ.ศ.2497 มีประวัติว่าเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วยฟิล์มสี อีสต์แมนไวด์สกรีน ขนาด 35 มิลลิเมตร และได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ที่โตเกียวประเทศญี่ปุ่น ถึง 3 รางวัล คือถ่ายภาพยอดเยี่ยม กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และรางวัลพิเศษในฐานะภาพยนตร์ที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมเอเชียได้ดี พอฉายเสร็จก็นำฟิล์มกลับมาไทยไม่ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องต้องเสียภาษี ทำให้ต้องทิ้งฟิล์มไว้ที่ต่างประเทศและได้สูญหายไป จนเมื่อรัฐบาลได้จัดตั้งองค์กรมหาชนที่ชื่อหอภาพยนตร์ขึ้น ใน พ.ศ. 2552 ก็ได้มีการสืบหา กระทั่งได้พบว่ามีสำเนาก้อปปี้ไว้ที่จีนกับรัสเซีย จึงนำไป “บูรณะ” ที่สตูดิโอในอิตาลี เป็นรูปแบบดิจิทัล ระบบ 4K เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2559 และได้นำมาฉายให้ประชาชนชมเรื่อยมา
เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้เรียบง่ายและตรงไปตรงมา เพราะเป็นเรื่องของชีวิตคนไทยที่ผูกพันอย่างแน่นแฟ้นในพุทธศาสนา ซึ่งผู้เขียนจะไม่ขอเล่าในรายละเอียด เพียงแต่อยากจะขอแนะนำว่า อย่าไปชมแล้ว “จับผิด” ว่ามีอะไรดีหรือไม่ดี สมจริง ไม่สมจริง หรือมีพิรุธ หรือความบกพร่องอย่างไร แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมไทย ท่านก็จะได้ไปดื่มด่ำกับชีวิตในชนบทอันสวยงาม ประเพณีที่เราคงหาดูไม่ได้ในเวลานี้ เป็นต้นว่า ลอยกระทงของชาวภาคกลาง การแต่งงานและการบวชแบบชาวบ้าน แต่ที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษก็คือ การดำเนินเรื่องที่มีบรรยากาศชวนติดตาม เพลงประกอบที่ไพเราะและได้อารมณ์มาก ๆ ทั้งในเวลาสุข เวลาเศร้า เวลาตื่นเต้น รวมถึงความสงบเงียบ อันเป็นแกนสาระของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีการถ่ายทำและการเอฟเฟคต์ประกอบต่าง ๆ ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในสมัยนี้
การจัดแสดงในหอภาพยนตร์มีมากมายหลายสิ่งหลายอย่าง แม้ถ้าคิดจะเดินชมให้หมดแบบ “รวบ ๆ” ก็อาจจะต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 วัน ส่วนตัวผู้เขียนได้เลือกไปชม “ห้องกระบวนการผลิตภาพยนตร์” (ขอบอกว่าเป็นการผลิตในสมัยก่อน ก่อนยุคดิจิทัลนะครับ) ซึ่งเขาได้ทำเส้นทางเดินชมไว้อย่างดีมาก แบ่งห้องเป็นสัดเป็นส่วนไปทุกขั้นตอน แต่ละห้องมีการให้ทดลอง “ทำจริง ๆ” ซึ่งช่วยให้เข้าใจถึง “ความละเอียดอ่อน” ของการสร้างภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี เริ่มจาก “แรงบันดาลใจ” ให้คิดจะสร้าง” อันเป็นกระบวนการเริ่มต้น ไปจนถึงติดตาม “ฟีดแบ็ค” ความคิดเห็นของผู้ชม อันเป็นกระบวนการสุดท้าย เฉพาะห้องนี้ก็ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง ทั้งนี้ผู้เขียนได้ลองไป “ออดิชั่น” หรือร่วมคัดตัวในการเข้าไปเป็นตัวแสดง หรือ “คาสติ้ง” อีกด้วย ซึ่งเขาจัดเป็นห้องเล็ก ๆ มีหน้าจอให้เราตอบคำถามและกรอกใบสมัครแบบย่อ ๆ จากนั้นก็ให้ถ่ายรูปใบหน้าในมุมต่าง ๆ 3 รูป สุดท้ายก็คือการ “ท่องบทและแสดงตามบท” แล้วกด “สมัคร” รอสัก 3-4 วินาที (ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 3-4 นาที) เครื่องก็จะประกาศผลออกมา ปรากฏว่าผู้เขียน “ผ่าน” การคัดตัว (สนุกมาก) เสียดายเขาไม่มีระบบให้พิมพ์รูปภาพหรือใบสมัคร ไม่งั้นจะได้เก็บไปเป็น “ประวัติศาสตร์ของครอบครัว” (ฮา)
การถ่ายทำภาพยนตร์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ทำให้นึกถึงหนังสือชื่อ “เมืองมายา” ที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนถึง เมื่อครั้งที่ท่านได้ไปแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด เรื่อง “The Ugly American” เมื่อ พ.ศ. 2506 โดยที่ตัวท่านเองก็ได้ร่วมแสดงกับนายมาลอน แบรนโด ซึ่งท่านได้ชื่นชมตัวผู้กำกับการแสดง คือนายจอร์จ อิงลันด์ ว่าคือ “พระเจ้า” นั่นเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะผู้กำกับการแสดงคือ “ผู้สร้าง” หรือคนที่ทำให้นักแสดงแสดงออกในทุก ๆ บทอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่เฉพาะแต่กริยาท่าทางหรือคำพูด แต่ละเอียดไปจนถึง การใช้สายตา การใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้า แม้กระทั่งการขมิบปากและขมวดคิ้ว !
มี “วรรคทอง” ในหนังสือเล่มนี้ที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ คือข้อความที่ว่า “คนที่แสดงดีก็จะร่ำรวยมีกินมีใช้ ใครที่แสดงไม่ดีก็จะย่อยยับอับจนและลาโรงไป” ทำให้นึกถึงไปถึงเรื่องของนักการเมืองไทยในเวลานี้จนได้ ที่เราได้เห็น “การแสดง” ต่าง ๆ มาโดยตลอด อย่างเช่น มหาโจรคนหนึ่งได้แสดงว่าไปนอนป่วยอยู่ 6 เดือน แต่แสดงไม่เก่งมีคนจับผิดได้ ไปฟ้องศาล ศาลท่านก็ตัดสินให้ไปติดคุกใหม่ หรือขณะนี้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งงทำท่าคือแสดงว่าจะเป็นฝ่ายค้านโดยไม่ร่วมรัฐบาล ในขณะที่นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดท่านก็พูดว่า “จะรักษาคำพูด” เราก็ต้องคอยดูไปก่อนว่า “ใครจะแสดงได้ดีหรือไม่ดี?” แล้วค่อยชื่นชมหรือโห่ฮาต่อไป
สำหรับเรื่องพิพิธภัณฑ์เอนก นาวิกมูล คงต้องเอาไว้นำเสนอในโอกาสต่อไป เพียงแต่อยากจะบอกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็นในพิพิธภัณฑ์นี้ นอกจากจะเก็บของเก่าและมีเรื่องเกี่ยวกับการเมืองและนักการเมืองอยู่บ้าง แต่เขาจะไม่เก็บสิ่งของหรือเรื่องที่ “ไม่เป็นประโยชน์” ที่สำคัญพวกที่ไม่มี “แกนราก” เชื่อมโยงอะไรทางสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงเรื่องการเมืองนั้นด้วย
ไปเที่ยวชมของเก่าและเรื่องราวเก่า ๆ แล้วก็สบายหูสบายตา และ “สบายใจ” เพราะไร้เรื่องราวของนักการเมืองเลว ๆ และคนเลว ๆ