สถาพร ศรีสัจจัง
คนไทยรุ่นนี้ “ถูกทำให้เชื่อ” (โดยแทบจะไม่ทันได้ใช้ “สติ” และ “ปัญญา” ไตร่ตรอง?) แทบจะโดยสิ้นเชิงแล้วว่า “ความเป็นสากล” (Internationality) สำคัญ และ มี “คุณค่า” มากกว่า “ความมีอัตลักษณ์”แบบ “ไทยๆ” ดังนั้นเราจึงจะพบได้โดยทั่วไปว่า อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก ที่เพิ่งเข้าสู่สังคมไทยอย่างจริงจังไม่เกิน 200 ปี และกลายเป็น “กระแส” อย่างมีอิทธิพลเป็น “ด้านหลัก” น่าจะไม่ก่อนมีการประกาศใช้“แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” (ตามแบบที่อเมริกันวางให้) ระยะที่ 1 ในปีพ.ศ.2504 คือประมาณ 60 กว่าปีมานี้เอง
และเครื่องมือสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการ “แพร่วัฒนธรรมใหม่เพื่อสร้าง “กระบวนทัศน์” ให้เชื่อและนิยมตะวันตกว่า “ดีกว่า ก้าวหน้ากว่า ทันสมัยกว่า ฯลฯ” วัฒนธรรมไทย (แบบไม่เลือกแก่นทิ้งกาก) ก็คือ “ภาษา”
ดังนั้นเพียงช่วงเวลาประมาณ 60 ปี ของการ “พัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย” ของไทย เราจึงพบว่า สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับ “ภาษาไทย” ค่อยๆ “ถอยร่น” อย่างไม่เป็นกระบวนในกระบวนการเรียนรู้ของเยาวชนไทย
การใช้ภาษาไทยอย่างลุ่มลึก อย่างมีระบบ อย่างถูกต้อง หรืออย่างมี “สำนวนภาษา” ที่แท้จริง จึงกลายเป็นเรื่องของคนที่ “เชย” “เร่อร่า” หรือ “ล้าหลัง” ในขณะใครที่สามารถใช้ภาษาของชาติวันตกได้อย่างยอดเยี่ยม (โดยเฉพาะภาษาของชาติจักรวรรดินิยมสมัยใหม่อย่างภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น “อเมริกัน อิงลิช”หรือ “บริติช อิงลิช”) ก็จะได้รับความนิยมชมชื่นจากสังคมไทยปัจจุบันว่า “เก่งและทันสมัยมาก!
ดังนั้น เมื่อถึงวันนี้ สำนวนไทยที่ว่า “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” และ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” จึงเป็นเรื่องที่จะเข้าใจถึงเนื้อหาลึกๆแท้จริงได้ยากอยู่ไม่น้อย
ถึงขนาดมีบางใครพูดกันว่า แม้แต่นักศึกษาวิชาเอกภาษาไทยหรือคุณครูภาษาไทยหลายคน ถ้าถูกถามใหอธิบายถึงสำนวนเหล่านี้แบบเฉพาะหน้าโดยไม่ให้เวลา “เตรียมตัวมาก่อน” ส่วนใหญ่ ก็ยากที่จะอธิบายได้อย่างถูกต้องชัดเจนในทันทีทันใด
อันนี้ “ผู้รู้” ในวงการศึกษาหลายท่านบอกว่า น่าจะเป็นผลจากระบบการเรียนในระบบ “การเรียนแบบแยกส่วน” คือเรียนเป็น “คอร์ส” เนื้อหาเรื่องไหนที่เรียนจบคอร์สแล้วก็ตัดทิ้ง ไม่มี “การเชื่อมโยง” อย่างแท้จริงให้เห็นเนื้อหารายวิชานั้นๆแบบองค์รวมเหมือนการศึกษาของไทยในยุคเก่า
นี่ก็ฟังว่าเพื่อให้ “ทันสมัย” ตามแบบฝรั่งอั้งม้อเขาอีกนั่นแหละ!
คิดๆแล้วก็อดจะประหวัดถึงคำเตือนของล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 ก่อนเสด็จสวรรคตขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ค่าที่เหมือนกับพระองค์จะทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า ในภายภาคหน้า ราษฎรในประเทศของพระองค์ท่านจะต้องตกเป็น “เมืองขึ้น” ในทาง “เนื้อหา” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของชาติตะวันตกอย่างไร!
คิดไปคิดมา เมื่อถึงวันนี้ ดูเหมือนประเทศไทย(ที่ถ้าเป็นต้นไม้ ก็เป็นต้นไม้ที่เคยมี “ราก” แข็งแกร่งมายาวนาน) นับตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมเผด็จการผ้าขะม้าแดงคนนั้น ใช้อำนาจเผด็จการเชื้อเชิญ “ผู้เชี่ยวชาญอเมริกัน” มาวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาตามแบบสังคมอเมริกัน แบบ “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” จน “ทันสมัย” อย่างสังคมแม่แบบคือ “อเมริกัน” ไปแล้วจริงๆ
จนก่อเกิดครุ่คนใหม่ “เจนX” ขึ้นหลังยุคนั้น ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันที่ดูเหมือนจะเรียกว่าคน “เจนZ” และทำให้สังคมไทยตกอยู่ในภาวะที่อาจเรียกได้ว่า “ราดขาด” ไปเรียบร้อยแล้ว!
“รากขาด” ในเรื่องอะไรบ้าง?
ก็ตั้งแต่เรื่องรากของระบบการปกครอง รากของระบบเศรษฐกิจ รากของระบบวัฒนธรรมโดยเฉพาะในเรื่องจริยธรรม-คุณธรรมมนั่นแหละ!
อย่าว่าแต่เรื่องสำนวนไทยอย่าง “ช้าๆไอ้พร้าเล่มงาม” หรือ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” เลย เมื่อถึง วันนี้ ให้สำนักงานสถิติแห่งชาติลองสำรวจดูสักเรื่องสองเรื่องก็ได้ ว่า “สถานการณ์ภาษาไทย” กำลังอยู่ในภาวะ รากขาดหรือไม่อย่างไร? เอากันเพียงสัก 2 เรื่องก็น่านะพอ
เรื่องแรก คือให้สำรวจเรื่อง “ชื่อเล่น” หรือ “นิคเนม” (Nickname) ของคนไทยตั้งแต่ “เจนX” จนถึง“เจ็นZ” ทั้งในเขตเมืองและชนบท และแจงนับดูว่ามีชื่อแบบไทยกี่เปอร์เซ็นแบบฝรั่งกี่เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบด้วยว่า เขตเมืองกับเขตชนบทมีความเหมือนความต่างอย่างมีนัยสำคัญอย่างไรบ้าง
อีกเรื่อง คือควรสำรวจเรื่อง “ชื่อบนป้ายกิจการหรือร้านค้า” ทั้งตามสายถนนและที่จดทะเบียนไว้กับทางการบ้านเมือง ว่ามีชื่อเป็นภาษาต่างด้าวกับภาษาไทยมากน้อยกว่ากันอย่างไรขนาดไหน กี่เปอร์เซ็นต์?
ก็ย่อมจะสามารถทำให้รู้ได้ในระดับหนึ่งว่า ความนิยมหรือความตระหนักรู้ในเรื่องความสำคัญของภาษาไทย ซึ่งน่าจะถือว่าได้ว่าเป็น “ราก” สำคัญที่สุดรากหนึ่งในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับ “ความเป็นไทย” ดำรงอยู่ในระดับใด หรือตกอยู่ในภาวะ “รากขาด” ไปเรียบร้อยแล้ว!
ส่วนเรื่องที่มีคำถามว่า นักเรียนวิศวกรรมศาสตร์จากเมืองฝรั่งอั้งม้อ อย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีหมาดๆของไทยปัจจุบัน จะเข้าใจสำนวนไทย “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” และ “น้ำขึ้นให้รีบตัก”หรือไม่อย่างไรนั้น คงจะไม่ต้องอภิปรายกันให้เสียเวลาและพื้นที่ในที่นี้ เพราะพฤติกรรมของเขาตั้งแต่ถูก“บิ้กทักษิณ” เฉดหัวไล่ออกจากการร่วมรัฐบาล จนถึงสามารถวิ่งลอบบี้ให้พรรค “ก้าวหน้าสุด” อย่าง “พรรคประชนชา” ยกมือโหวตให้ชนะเสียงในสภาได้ ย่อมเป็นคำอธิบายที่ชัดเจนอยู่แล้ว!!!!