ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิต
คณะการทูตการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต
ทุกท่านเคยคิดไหมครับว่า โลกที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ทำไมมันช่างวุ่นวายเสียเหลือเกิน ? โลกใบนี้กำลังเดินไปสู่จุดไหน และเราควรต้องเตรียมรับมืออย่างไรในฐานะประเทศเล็กๆ วันนี้มาลองวิเคราะห์ไปด้วยกันครับ
ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่เราทุกคนเห็นปัญหาของโลกกันอย่างแจ่มชัด รวมถึงเห็นว่ามันกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ร้อนขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย จนหลายต่อหลายคนตั้งคำถามกับความสงบร่มเย็นของโลก ระเบียบโลก รวมไปถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์กร หลักการ และกฎหมาย ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อป้องกันความวุ่นวายเหล่านี้ ซึ่งดูๆไปแล้ว ก็น่าจะทำได้ “ไม่ค่อยดีสักเท่าไร” หากเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นตัวชี้วัด
โลกกำลังแบ่งขั้วออกอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จากสัญญาณหลายอย่างที่ถูกส่งออกมา ทั้งการแสดงออกของสหรัฐ ที่ใช้เพดานภาษีเปรียบได้กับการ “เช็คยอด” และ “จัดแถว” เพื่อดูว่าใครอยู่ข้างตนบ้าง เรียกได้ว่าใช้เรื่องเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือวัดความไว้วางใจ และความเป็นพรรคเป็นพวก ใครที่เข้าท่าเข้าทาง ดูแล้วสยบยอมและพร้อมยื่นประโยชน์ให้สหรัฐ ประเทศนั้นๆก็จะถูกจัดวางอยู่ในเข่งที่เรียกได้ว่า “พวกกัน” ตรงกันข้าม ใครที่ไม่ยอม ก็ต้องพบกับเพดานภาษีที่ทิ่มแทง จนหลายๆประเทศต้องหันหน้าไปหาขั้วอื่นเพื่อเอาตัวรอด
ในฟากฝั่งของจีนก็ไม่ธรรมดา แสดงออกอย่างชัดเจนผ่านการยกระดับการประชุม SCO Summit 2025 (Shanghai Cooperation Organization) และการสวนสนามใหญ่ที่จตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นสัญญาณแบ่งขั้วอีกอันหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจน เห็นได้จากประเทศต่างๆที่มาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ซึ่งล้วนแต่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐหรือหนีตายเอาตัวรอดทั้งสิ้น เรียกได้ว่างานนี้สหรัฐถึงกับเต้นผาง ซึ่งแน่นอนพาลรวมไปถึงกลุ่ม BRICS ที่ทำท่าจะเขย่าความสำคัญของเงินดอลลาร์อยู่เรื่อยๆ
โลกจึงตกอยู่ในภาวะประหลาด เป็นภาวะที่ “เชื่อมโยงกันมากขึ้น แต่ห่างเหินกันมากขึ้น” เพราะทุกประเทศต่างยังไม่ละทิ้งความเชื่อมโยงและความร่วมมือด้านต่างๆ รวมถึงโลกาภิวัตน์ที่พัฒนาไปขั้นสุดผ่านเทคโนโลยีต่างๆ แต่ก็แตกแยกและห่างเหินกันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหลังสงครามเย็นเช่นกันด้วยข้อจำกัดและแรงกดดดันต่างๆที่มหาอำนาจสร้างขึ้น จนกลายเป็นโลกที่ “มีความเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นเป็นโยงใย แต่ก็แตกแยกออกเป็นกลุ่มก้อน” ด้วยเช่นกัน
ด้วยสภาพการณ์แบบนี้ สงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ กลับกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ประหนึ่งว่ากฎหมายและระเบียบระหว่างประเทศเป็นเพียงข้อความในกระดาษ ความโนสนโนแคร์ต่อข้อตกลงระหว่างประเทศสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ นี่อาจเป็นเพราะระเบียบโลกเดิมทำท่าจะไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่ละประเทศจึงต่างไม่สนใจที่จะต้องทำตาม และกลายเป็นผลลัพธ์เช่นนี้ คือ สิ่งใดร่วมมือได้ก็ทำไว้ แต่ก็วิ่งวุ่นหาทางทำให้ตัวเองแข็งแรงปลอดภัยในหลากหลายรูปแบบ “ไม่ยอมฝากไข่ไว้ในตะกร้าใดอีกต่อไป”
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ ความสับสนไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับประเทศเล็กๆที่ไม่ได้มีพลังอำนาจไปกำหนดทิศทางของโลก และจำเป็นที่จะต้อง “อยู่ให้เป็น” และ “อยู่ให้รอด” ภายใต้ Ecosystem ที่กำลังเปลี่ยนไปแบบเดาทิศทางได้ยาก และจะเป็นโจทย์ยากของรัฐบาลต่างๆ เพราะถามใครก็ยังฟันธงไม่ได้ว่า โลกจะหน้าตาเป็นอย่างไร ดังนั้นการเลือกนโยบายและแผนให้เหมาะสมเป๊ะปัง จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ทำได้ก็แค่เพียง “เตรียม” ไว้ทั้งแผน A แผน B จะเทหมดหน้าตักไปทางไหนก็คงจะตัดสินใจได้ยาก
แต่ถ้าโลกเดินไปอย่างที่บอกจริงๆ วันหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องฟันธง “เลือกข้าง” เพราะแรงกดดันต่างๆจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการง่ายกว่าการวางตัวเป็นกลาง ที่ไม่ต่างอะไรกับการเปิดศึกสองทาง
ท่ามกลางความไม่แน่นอนอย่างยิ่งเช่นนี้ ดีที่สุดเห็นจะต้องเป็น “การพึ่งตนเอง” ให้ได้มากที่สุด ทั้งด้านอาหาร พลังงาน รวมไปถึง เศรษฐกิจและการทหาร เพราะอย่างน้อยก็เป็นการทำให้ตนเองแข็งแรง เวลาเจอลมแรงจากหลายทิศทางจะได้ไม่เซและไม่ล้ม
การจะถูกลากไปข้างใดข้างหนึ่งได้ง่ายนั้น เป็นเพราะเราพึ่งพาเขา ยิ่งพึ่งมากยิ่งถูกกดดันได้มาก ยิ่งถูกลากไปลากมาได้ง่าย เป็นสัจจะธรรม ไม่ต่างกันทั้งคนและประเทศ
การสร้างตนเองให้แข็งแรงมีภูมิคุ้มกัน เป็นหนึ่งในโจทย์ที่ต้องได้รับการช่วยกันคิดหาคำตอบโดยเร็ว เพราะโลกที่ว่า ไม่แน่....อาจจะมาถึงในไม่ช้า
เอวัง