สถาพร ศรีสัจจัง
“ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” เป็นสำนวนไทยเก่า นักเรียนที่ต้องเรียนวิชาภาษาไทยยุคเก่าล้วนต้องเคยผ่านหูผ่านตาสำนวนนี้มาแล้วทั้งสิ้น ส่วนที่จะเข้าใจ “เนื้อหา” หรือ “นัยยะ” ที่ซ่อนอยู่ในสำนวนแบบลึกหรือแบบตื้นแค่ไหนนั้น นอกจากจะต้องเป็นไปโดยตนแล้ว “ครูผู้สอน” (หรือ “โค้ช” ในปัจจุบัน?) ก็น่าจะมีส่วนอย่างสำคัญ
ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าระบบการศึกษาไทยปัจจุบัน ที่ฟังว่ารับสมาทานรูปแบบมาจากแนวคิดที่ “ทันสมัย” ของฝรั่งอั้งม้อชาติตะวันตก(โดยเฉพาะอเมริกา)อย่างเต็มรูปแล้ว
ระบบการศึกษาไทยปัจจุบัน ที่มี “นักเรียนนอก” มีดอกเตอร์ มีศาสตราจารย์ ฯลฯ และ บุคลากรทางการศึกษา(ที่ล้วนมีปริญญาพ่วงท้าย)จำนวนมาก(แต่มีงานวิจัยระดับโลกประเมินว่า ตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาพ “ล้าหลังที่สุดในอาเซียน” ไปเรียบร้อยแล้ว!)
จะยังมีการเรียนการสอนเรื่อง “สำนวนไทย” ที่น่าจะเป็น “รากทางภูมิปัญญา” ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งของภาษาไทย ของวัฒนธรรมไทย และของสังคมไทย เหมือนกับนักเรียนรุ่นเก่าๆที่ล้วนต้องเรียนกันทุกคนอยู่หรือเปล่า!
เพื่อให้ “ร่วมสมัย” และกลัวเชย จึงลอง “คลิ้ก” เข้าไปถามเจ้า AI ดู ก็ได้คำอธิบายดังนี้
“ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” หมายถึง การทำสิ่งใดๆอย่างรอบคอบ ไม่รีบร้อน หรือใจร้อน จะทำให้งานนั้นสำเร็จผลดีและมีคุณภาพ เปรียบเหมือนช่างที่ค่อยๆตีเหล็กให้เป็นพร้าอย่างประณีต จะได้พร้าที่คมและทนทาน ไม่เหมือนกับการรีบร้อนตี ที่อาจทำให้งานเสียและไม่แข็งแรง
ส่วนสำนวน “น้ำขึ้นให้รีบตัก” นั้นหมายถึง เมื่อมีโอกาส(ในเรื่องที่ต้องทำ/ควรทำ/อยากทำฯลฯ)ก็ควรจะต้องทำในทันที ไม่อิดออดล่าช้า หรือลังเลให้เสียการณ์
ทั้ง 2 สำนวนไทยที่ยกมานี้ สะท้อนให้เห็นถึง “ความมีราก” ของสังคมไทยในแง่การ “ส่งต่อทางภูมิปัญญา” ของบรรพชนไทยในอดีต เป็นการประมวลสรุป “ประสบการณ์” และ “บทเรียนชีวิต” ของ “นักคิด” ชาวไทยรุ่นก่อน เพื่อสั่งสอนอบรมและส่งทอด ให้อนุชนรุ่นหลังได้ใช้เป็น “เครื่องมือ” เพื่อไตร่ตรองในการใช้ชีวิต
ฟังสำนวนทั้ง 2 สำนวนนี้แล้ว บางใครอาจบอกว่ามีความย้อนแย้งกันอยู่ไม่น้อย เพราะสำนวนหนึ่งคล้ายสอนว่า “ต้องช้าๆ” แต่อีกสำนวนกลับมีความหมายเหมือนว่า “ต้องเร็วๆ”
จริงๆแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น(ในกรณีสังคมไทย) เพราะสังคมไทยแต่เดิมเป็นสังคมแบบ “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม”จริงๆ กล่าวคือ เป็นสังคมที่ “วิถีชีวิต” ของผู้คนเกาะเกี่ยวอยู่กับ “สภาวธรรม” (Natural way) นั่นคือผู้คนมีความเคารพธรรมชาติ อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสันติ ไม่รุกรานก้าวร้าว หรือมุ่ง “พิชิต” ธรรมชาติ
อาจมีการดัดแปลงธรรมชาติอยู่บ้าง แต่ก็ล้วนเพื่อการยังประโยชน์แก่ชีวิตอย่าง พอเหมาะพอควร หรืออย่าง“มัชฌิมาปฏิปทา” ตามหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอิทธิพลห่มคลุมอยู่เหนือรูปการจิตสำนึกของผู้คนในสังคมมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ
เมื่อครั้งที่อิทธิพลวิธีคิดแบบ “พิชิตธรรมชาติ” ของวัฒนธรรมการคิดหลักของชาติตะวันตกเริ่มแผ่เข้าสู่สังคมไทยพร้อมกับๆลัทธิล่าอาณานิคมของบรรดาชาติจักรวรรดินิยมตะวันตกในช่วงต้นยุครัตนโกสินทร์นั้น ชนชั้นนำของสังคมไทย(โดยเฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน)ล้วนตั้งรับพลังของอิทธิพลดังกล่าว ด้วยกุศโลบายที่ชาญฉลาดและอย่างระมัดระวังยิ่ง
โดยเฉพาะในยุคสมัยของล้นเกล้ารัชกาลที่ 3-4-5 และ 6!
รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยได้ประมวลรวบรวมข้อมูลและศึกษาวิจัยไว้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนเป็นจำนวนมากแล้ว จึงจะไม่ขออภิปรายถึงเรื่องดังกล่าวให้เปลืองพื้นที่อีก
แต่ที่ยังอยากยกมาให้เห็นถึงความห่วงใยเหมือนทรงเห็น “เหตุวิกฤติทางสังคม” ของสังคมไทยไว้ล่วงหน้า ก็คือกระแสพระราชดำรัสของล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 ที่ทรงตรัสสั่งบรรดาเสนาบดีทั้งหลายที่เข้าเฝ้าไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ไม่นานนัก ที่ว่า :
“…การต่อไปภายหน้า…การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะร่ำเรียนเอาไว้ ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว…”
แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?
ล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราโชบายรับการพัฒนาจากตะวันตก เพื่อปรับปรนประเทศไปสู่ความทันสมัยแบบเหมาะสมหลายหลากประการด้วยกัน
จนสามารถรักษาเอกราชของชาติจากบรรดาชาติจักรวรรดินิยมตะวันตกอย่างประสบความสำเร็จยิ่ง
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านล้วนต้องสูญเสียเอกราชไปแทบจะทั้งหมด!
ขณะที่ทรงเปิดรับรูปแบบการพัฒนาสังคมแบบตะวันตกที่เหมาะกับสภาพสังคมไทยนั้น ทั้ง 3 พระองค์ ก็ทรงมุ่งมั่นในการธำรงวัฒนธรรมไทยที่ดีงามไว้อย่างเข้มแข็งยิ่ง อย่างสอดคล้องกับพระประสงค์ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 ได้ทรงสั่งเสียตักเตือนไว้
ด้านหลักของ “ชีวิตสังคมไทย” หรือ “สยาม” ณ ยามนั้น จึงยังคงดำเนินชีวิตกันไปแบบ “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” แต่ในบางด้านบางเรื่อง ก็ยึดหลัก “น้ำขึ้นให้รีบตัก” โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อชีวิตราษฎรและต่อสังคมส่วนรวม!!!