ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิต

คณะการทูตการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต

ในช่วงเพียงไม่กี่วันมานี้ สถานการณ์ความรุนแรงในหลายพื้นที่ของโลกทวีความรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในรูปแบบของการสู้รบระหว่างรัฐ, ความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ, และเหตุการณ์ยิงกันในที่สาธารณะ — ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่โลกอาจอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของความขัดแย้งต่างๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น วันนี้จะมาสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาให้อ่านกันครับ

สถานการณ์สำคัญทั่วโลก

1.การสู้รบในยูเครน-โจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแน่นอนว่า หนึ่งในความร้อนแรงของโลกยังคงอยู่ที่รัสเซียและยูเครน หนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงที่โดดเด่นคือ การโจมตีของรัสเซียต่อเมือง Zaporizhzhia ในยูเครน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย บาดเจ็บ 7 คน และเกิดไฟไหม้หลายจุด ทั้งที่อยู่อาศัยและอาคารอื่นๆ ได้รับความเสียหายรวมถึงพื้นที่เกษตรกรรม

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ากองทัพยูเครนต้องปลดผู้บัญชาการระดับสูงสองนายหลังจากเสียดินแดนภายใต้ เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อยูเครน ทั้งจากการโจมตีทางทหารและปัญหาด้านขวัญกำลังใจ รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการในสถานการณ์สงครามที่ต่อเนื่อง

2. เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในสหรัฐฯ-ยิงนักเคลื่อนไหวและโรงเรียน

หันมาฝั่งในสหรัฐอเมริกา ก็ได้เกิดเหตุความรุนแรงทางการเมืองที่ได้รับความสนใจสูงสุดเมื่อ Charlie Kirk นักเคลื่อนไหวฝั่งขวา (conservative) ถูกยิงในขณะที่ขึ้นเวทีปราศรัยที่ Utah Valley University  ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็น “การลอบสังหารทางการเมือง” (political assassination) โดยมีการค้นพบปืนไรเฟิล, หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์, และมีการตั้งข้อสงสัยถึงแรงจูงใจทางอุดมการณ์และการเมือง พร้อมกันนั้น ก็มีเหตุยิงกันในโรงเรียนที่เมือง Colorado เกิดขึ้นในวันเดียวกัน โดยมีนักเรียนได้รับบาดเจ็บหลายรายก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะฆ่าตัวตาย เหตุการณ์สองอย่างนี้ สะท้อนภาพของความไม่ปลอดภัยแม้ในพื้นที่ที่ควรจะปลอดภัย

3. เนปาล: เผชิญความรุนแรงจากการประท้วงของคนรุ่นใหม่ (Gen Z)     

นับว่าเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของโลกก็ว่าได้ ในเนปาล ประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นเยาว์ “Gen Z” ได้ก่อการประท้วงอย่างรุนแรงต่อต้านรัฐบาล หลังจากรัฐบาลแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อาทิ  Facebook, YouTube, X เป็นต้น ซึ่งถูกมองว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพในการสื่อสารของประชาชน จนเกิดการประท้วงลุกลามจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 72 คน บาดเจ็บมากกว่า 2,100 คน ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นการประท้วงกวาดล้างคอรัปชั่น หรือเรียกได้ว่า “ล่าแม่มด” คนที่เคยมีอำนาจทางการเมือง สิ่งที่ตามมาคือ การที่ผู้ประท้วงบุกสภาผู้แทนราษฎร อาคารศาลสูง บ้านของนักการเมือง โรงแรมหรูถูกเผา โรงงานราชการและอาคารราชการอื่นๆ ถูกทำลาย นายกรัฐมนตรี K. P. Sharma Oli ลาออก ตามแรงกดดันประชาชนและหลังเกิดความรุนแรงหนัก 

รัฐบาลกลางแทนที่ตั้งขึ้นโดย Sushila Karki เป็นนายกฯ รักษาการคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกที่รับตำแหน่งนี้ในประวัติศาสตร์ของเนปาล พร้อมสัญญาว่าจะปฏิรูป, ฟื้นฟูสิทธิพลเมือง, คืนเสรีภาพในการใช้โซเชียลมีเดีย และเตรียมการเลือกตั้งใหม่ในเดือนมีนาคม 2026 

4. อังกฤษ: การประท้วงฝ่ายขวาสุดโต่ง และแรงต้านประเด็นอพยพ-เชื้อชาติ

ในฝั่งของยุโรป ในกรุงลอนดอน มีการเดินขบวน “Unite the Kingdom” ซึ่งจัดโดย Tommy Robinson ซึ่งเน้นเนื้อหาเรื่องต่อต้านคนเข้าเมืองและแนวคิดชาตินิยม (nationalism)  โดยมีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 110,000–150,000 คน ซึ่งถือเป็นการชุมนุมของฝ่ายขวาที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษช่วงหลัง ๆ ซึ่งหลักๆคือการต่อต้านการอพยพและประเด็นของเชื้อ จนทำให้มีผู้ประท้วงปะทะกับตำรวจก่อนในบางจุด รวมถึงการทิ้งขยะ, ขว้างขวด, ตะโกน สร้างความวุ่นวาย มีตำรวจบาดเจ็บ 26 นาย บ้างอาการสาหัส ส่งผลให้มีการจับกุมผู้ที่กระทำผิดความสงบเรียบร้อย (violent disorder, criminal damage, assault) จำนวนหลายราย 

จะเห็นได้ว่า ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน โลกได้ร้อนขึ้นพร้อมๆกันในหลายมุมของโลก และหากพิจารณาดูให้ดี จะพบว่า เกือบทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเมือง “ภายใน” ประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับด้านอุดมการณ์ การคอรรัปชั่น รวมถึงเชื่อมโยงกับ “การเมืองระหว่างประเทศ” นอกจากนี้ ความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีเพียงหนึ่งเดียวที่มีตัวแสดงเป็นทหาร แต่ที่เหลือกลับเป็นพลเรือนที่กลายเป็นตัวแสดงหลัก ความไม่พอใจต่อกลุ่มชนชั้นนำ และกลุ่มการเมือง เผยเป็นภาพที่ชัดเจนและสร้างผลกระทบอย่างหนักโดยพร้อมๆกัน

นี่เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่ง ที่ไทยเองก็ไม่ควรมองข้าม เพราะปัญหาที่กล่าวมา “ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีในประเทศไทย” ยังดีที่คนไทยไม่ใช่คนรุนแรง เลยอาจทำให้ปัญหายังไม่เกิดขึ้น หรือไม่? ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทิ้งไว้เป็นคำถามเฉยๆ

การเมืองในประเทศไทยก็ยังปั่นป่วน ประชาชนเริ่มหมดหวังกับการเมือง เริ่มมองไม่เห็นทางออกทั้งของการเมือง ความเบื่อหน่ายในพรรคการเมืองและตัวบุคคลต่างๆ อีกทั้งยังเห็นการถอยหลังของประชาธิปไตยจากเกมการเมืองที่เกิดขึ้น แบบไม่สนใจประชาชน รวมไปจนถึงบทบาทขององค์กรอิสระที่อาจจะไม่อิสระในสายตาประชาชน...

งานนี้ “เรียนรู้” เพื่อ “เตรียมรับ” ไว้บ้าง...ก็ดีนะครับ.....เอวัง