การปรากฎตัวของ “ปรีชาพล พงษ์พานิช” หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ณ ที่ทำการพรรค ถือเป็นการสยบข่าวลือที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา ว่าปรีชาพลและคณะกรรมการบริหารพรรคบางส่วนได้ถูกควบคุมตัวไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ทางการเมือง ครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมาด้วยการเสนอพระนามของ ทูลกระหม่อมฯ เป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีของพรรค ที่กลายเป็นเรื่อง “มิบังควร” ในเวลาต่อมาไม่ทันข้ามคืน! แต่ถึงกระนั้นดูเหมือนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาสำหรับพรรคไทยรักษาชาติ ยังไม่ได้จบลงไปเมื่อวันที่ 8 ก.พ.แต่อย่างใด หากแต่นี่คือจุดเริ่มต้น ของสถานการณ์อันยากลำบาก ต่างหาก ! “ ก่อนอื่นพวกเราขอเรียนว่า พวกเรากรรมการบริหารพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ขอน้อมรับพระราชโองการไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมด้วยความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และราชวงศ์ทุกพระองค์ ทั้งนี้ หลังจากที่ กกต.มีมติของ กกต.เมื่อวานนี้ (11 ก.พ.) ที่ไม่ประกาศรายชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรคไทยรักษาชาติ พวกเราถือว่า เมื่อมีมติออกมาแล้วก็ถือว่าเป็นที่ยุติ ซึ่งเราไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะเราได้แถลงน้อมรับพระราชโองการไปเรียบร้อยแล้ว” ปรีชาพล ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่พากันไปปักหลังเฝ้ารอการมาของคณะกรรมการบริหารพรรค กันมาหลายวัน หากถอดรหัสจากคำพูดของปรีชาพล ดูเหมือนเจ้าตัวจะพยายามบอกว่า กรณีดังกล่าวยุติลงแล้ว และจากนี้พรรคไทยรักษาชาติ จะเดินหน้าในสนามการเมืองกันต่อไป แต่ทั้งนี้ปรีชาพล เองต้องไม่ลืมว่า เวลานี้มีความเคลื่อนไหวจากฟากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณา การกระทำของคณะกรรมการบริหารพรรคว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการหาเสียงของกกต.หรือไม่ ดังนั้นหมายความว่า แม้ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ จึงมีความจำเป็นที่ปรีชาพล จะต้องเร่งส่งสัญญาณ ไปยังสมาชิกพรรคและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สมัครของพรรคที่กำลังเดินสายหาเสียง เพราะหวังว่าจะได้มีโอกาสต่อสู้ในศึกเลือกตั้ง วันที่ 24 มี.ค.นี้ ด้วยความหวัง และกำลังใจของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคไทยรักษาชาติ ดูจะเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ปรีชาพล และผู้อยู่เบื้องหลัง ไทยรักษาชาติตัวจริง เสียงจริง ต้องออกมาส่งสัญญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้สถานการณ์ของพรรคยิ่งสาหัส จนอาจส่งผลกระทบไปยัง “พรรคเพื่อไทย”และ “พรรคเพื่อชาติ” อันเป็นพรรคในแม่ข่ายเดียวกัน เพราะต้องไม่ลืมว่า พรรคไทยรักษาชาตินั้นถูกวางเอาไว้ให้เป็น “ทัพรอง” เพื่อช่วยทำคะแนนทั้งเขตและปาร์ตี้ลิสต์ ให้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็น “ทัพใหญ่” มีภารกิจในการกวาดที่นั่งส.ส.เขตให้มากที่สุดเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ยึดหัวหาดในสนามเลือกตั้งเหนือ “พรรคคสช.” ทั้ง พรรคพลังประชารัฐ และเครือข่ายแนวร่วมคสช. ทว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตามมาสำหรับพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งทั้งตัวปรีชาพล ไปจนถึงแกนนำพรรคเพื่อไทย จนถึงพรรคเพื่อชาติเอง ต่างรู้ดีว่า รูรั่วที่เกิดขึ้น ณ พรรคไทยรักษาชาติ กำลังจะทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เพราะนอกจากการเลือกตั้งรอบนี้ จะมีการปรากฎการณ์ อวาแลนซ์ตามที่ ทักษิณ เคยวาดหวังเอาไว้ มิหนำซ้ำยังจะทำให้ทั้งสามพรรคต้องแบกรับความสุ่มเสี่ยง อีกด้วยต่างหาก !