ทวี สุรฤทธิกุล

คนที่เกิดมาอายุเกิน 60 ปี อาจจะมองว่าอนาคตเป็นเรื่องของลูกหลาน แต่ความจริงยังเป็นเรื่องที่ทุกคนยังต้องช่วยกันสร้างสรรค์และมุ่งหวังกันต่อไป

ผู้เขียนเกิดมาในยุคที่ “ทหารครองเมือง” ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องมาจนถึงจอมพลถนอม กิตติขจร แต่กว่าจะรู้ความก็มีอายุย่างเข้า 10 ขวบ ในปี 2512 ที่ทหารยอมให้มีเลือกตั้ง และได้เห็นผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้งมาหาเสียงที่หน้าตลาดห้วยขวาง สงสัยแต่เพียงว่าทำไมเขาต้องตะโกนใส่ไมโครโฟน ทั้งที่เครื่องขยายเสียงก็ดังอยู่แล้ว ความรู้สึกจึง “รำคาญการเมือง” เอามาก ๆ และมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการเมืองมาตั้งแต่เริ่มแรก

ในปี 2516 ผู้เขียนเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 3 ในเดือนตุลาคมมีการชุมนุมต่อต้านเผด็จการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นพี่ที่ไปร่วมชุมนุมมาบอกบอกกับน้อง ๆ ว่า ดนตรีที่ไปเล่นบนเวทีเล่นได้ “มันส์มาก” (สมัยนั้นคำวิเศษณ์ที่ขยายกริยาอาการต่าง ๆ ถ้ามีมาก ๆ จะต้องเติม “ส์” เหมือนไวยกรณ์ฝรั่ง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็น่าจะยังใช้ได้ เช่น ระบอบทักษิณชั่วมากส์ส์ส์ อย่างนี้เป็นต้น) ผู้เขียนจึงไปร่วมชุมนุมในคืนวันที่ 11 และต้องอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 13 ที่ขบวนผู้ชุมนุมเดินออกมาบนถนนราชดำเนินเพื่อไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ไม่ใช่เพราะติดใจในดนตรี แต่เกิด “เลือดวีรชน” พลุ่งพล่าน อยากเป็นส่วนหนึ่งของวีรกรรมในการโค่นล้ม “3 ทรราชย์” ในครั้งนั้น โชคดีที่ในเช้าวันที่ 14 ที่มาชุมนุมอยู่รอบพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไม่ได้ไปประทะกับตำรวจที่ด้านหัวมุมเขาดินวนา เพราะแยกย้ายออกมาทางวัดเบญจมบพิตร ที่อยู่คนละทิศกับเหตุการณ์จลาจล

นั่นคือความตื่นเต้นครั้งสำคัญในชีวิต ต่อเนื่องมาถึงเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่ผู้เขียนเรียนอยู่ชั้นปี 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ไปดู “ซาก” กองไฟที่เผาผู้ชุมนุมใต้ต้นมะขามข้างสนามหลวงหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่ที่คณะอักษรศาสตร์พาไป ทำให้รู้สึกว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ “สยดสยอง” มีความโหดร้ายทารุณมาก ๆ รุ่นพี่คนนี้เธอเป็นคริสเตียน เธอยังพูดว่าไม่คิดว่าประเทศที่นับถือศาสนาพุทธจะมีเรื่องร้าย ๆ แบบนี้

พอจบการศึกษาใน พ.ศ. 2523 ผู้เขียนต้องไปเป็นทหารเกณฑ์เพราะไม่ได้เรียนรักษาดินแดน โดยใช้สิทธิ์ของคนที่จบปริญญาตรีสมัครเข้าเป็นทหาร ก็จะเป็นทหารเพียง 6 เดือน โดยสมัครไปเป็นทหารอากาศโยธิน ที่กองบิน 1 โคราช (โดยคิดเอาเองว่าทหารอากาศน่าจะ “ฝึก” ไม่หนักเท่าทหารบก แต่พอเจอจริง ๆ ก็ “สาหัส” เอาการ) พ้นทหารออกมาก็ทำงานเป็นเลขานุการท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม (ซึ่งเคยทำอยู่ก่อนตั้งแต่ช่วงปิดเทอม ตั้งแต่ พ.ศ. 2520) ทีนี้จึงได้เห็นและสัมผัสการเมืองไทยอย่างเข้มข้น โดยทำอยู่จนถึง พ.ศ. 2529 ที่ผู้เขียนสอบเข้ารับราชการที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ก่อนที่จะสอบและโอนย้ายมาเป็นอาจารย์ที่สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ใน พ.ศ. 2531 จึงทำให้ต้องทำความเข้าใจการเมืองทั้งของไทยและต่างประเทศในทางลึก ในฐานะนักวิชาการทางด้านรัฐศาสตร์มาตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปี 2549 ก็ได้เข้าไปทำงานการเมืองในภาคปฏิบัติ ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พอพ้นออกมาใน พ.ศ. 2551 ก็ได้มาเป็นคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์กับสยามรัฐ แต่ไม่ได้เขียนให้โพสต์ทูเดย์มาตั้งแต่ปี 2556 ที่ผู้เขียนขึ้นเวที กปปส. คงเหลือแต่สยามรัฐที่ยังเขียนมาถึงปัจจุบัน

ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของผู้เขียนมายืดยาวนี้ ไม่ใช่คิดจะเขียนอัตชีวประวัติของตัวเองฝากฝังไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รับรู้แต่อย่างใด เพียงแต่อยากจะบอกว่าการเมืองไทยเมื่อตอนที่ผู้เขียนเกิดมาจนถึงวันนี้ “ยังเหมียนเดิม” ตั้งแต่ผู้แสดงก็ยังมีทหารกับชนชั้นปกครองเป็นหลัก สถานการณ์ก็ยังวนเวียนอยู่ระหว่างเลือกตั้งสลับกับรัฐประหาร เป้าหมายของผู้ปกครองเหล่านั้นก็มีแต่รักษาอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์ เอาแต่พรรคพวกเพื่อนพ้อง ไม่มองหรือเห็นหัวประชาชน ทำให้พัฒนาของระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงยัง “ล้มลุกคลุกคลาน” นับหนึ่งหรือเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ (นี่ก็กำลังพูดถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันอีกแล้ว)

ผู้เขียนประเมินตัวเองว่าเป็น “ผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง” ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าครึ่งศตวรรษ แม้จะผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายทางการเมืองของประเทศไทยมามาก แต่ก็ยังถือตัวเองว่าเป็น “พวกโลกสวย” คือยังมีความหวังกับการเมืองไทยและประเทศไทย โดยส่วนตัวแล้วยังเชื่อว่า ก่อนที่จะถึง 24 มิถุนายน 2575 อีก 7 ปีที่จะถึงนี้ เราน่าจะเป็นประชาธิปไตย “ขึ้นบ้าง” อย่างน้อยก็อย่าได้มีรัฐประหารอีกเลย และนักการเมืองก็ลดการโกงกินกับแย่งชิงผลประโยชน์ลงไปบ้าง แต่ที่สำคัญที่สุด คนไทยควรจะต้อง “เอาใจใส่” มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่ทอดทิ้งหรือปล่อยให้พวกนักการเมือง “ปู้ยี่ปู้ยำ” ได้ดังเดิม

หลายคนเชื่อว่าพอทักษิณติดคุก ระบอบทักษิณก็จะจบและทักษิณก็คงไม่กลับมามีอำนาจอีก ?

ส่วนตัวของผู้เขียนก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว(ตามที่เล่าประวัติชีวิตมา)ก็ยังไม่วางใจว่า “ระบอบชั่ว” นี้จะหมดไป เช่นเดียวกับการปฏิวัติรัฐประหารที่ยังเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ รวมถึงการทุจริตคดโกงและเล่นพรรคเล่นพวก ก็คงไม่หมดไปจากการเมืองไทย

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็อยากให้เราเรียกการเมืองไทยในยุคต่อไปนี้ว่า “ยุคหลังระบอบทักษิณ” เพื่อนำเอาประวัติศาสตร์ในยุคที่ประเทศไทยถูกกระทำย่ำยีด้วยนักการเมืองและผู้คนในระบอบการเมืองนี้ มาเป็น “บทเรียนสอนใจ” อย่างที่เด็ก ๆ ในสมัยที่ผู้เขียนเติบโตมา ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการโกงกินและความชั่วร้ายของ “ระบอบทหาร” แต่พอเกิดเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ก็นึกว่าระบอบทหารนี้จะสิ้นสุดลง แต่คนรุ่นใหม่ในยุคนั้นกลับใช้เสรีภาพเกินขอบเขต ทำลายบรรยากาศประชาธิปไตย จนพังลงเมื่อทหารคืนสู่อำนาจในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ด้วยความโหดร้ายทารุณยิ่งกว่าเก่า

เราก็อย่าได้วางใจ “ระบอบทักษิณ” นี้จะหมดไป แม้ว่าทักษิณจะหายไปจากโลกนี้แล้วในสักวันหนึ่งข้างหน้า เหมือนกับที่ระบอบทหารที่คิดว่าจะหายไปแล้วก็ยังมีอยู่ ซึ่งเราก็ได้เห็นแล้วว่าทหารนั้นเอาเข้าจริง ๆ ก็จัดการอะไรกับนักการเมืองเลว ๆ ไม่ได้ แถมบางทีก็ร่วมเป็นพวกหรือ “ยอมตาม” ตกลงอะไรต่าง ๆ ให้กับนักการเมืองเลว ๆ พวกนั้นได้เสมอ (ดังที่เห็น “ดีล” ต่าง ๆ เกิดขึ้นนั้น) หลายคนหลงใหลได้ปลื้มกับระบอบทหาร และอยากให้ทหารกลับมาปกครองประเทศ ซึ่งในระบบการเมืองที่มีคุณธรรมแล้ว ทั้งสองระบอบนั้น “เลวร้าย” พอ ๆ กัน

ตำรารัฐศาสตร์บอกว่า “ประชาชนเป็นอย่างไร ผู้ปกครองก็เป็นอย่างนั้น” แล้วคนไทยอยากเป็นคนชั่วกระนั้นหรือ?