ทุกสมรภูมิสงครามมักจบลงที่การเจรจา โดยฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายได้เปรียบในการเจรจาและได้มาซึ่งสิ่งที่ฝ่ายตนต้องการมากที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับอำนาจในการเจรจาต่อรองที่เหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง และการที่จะได้มาซึ่งอำนาจในการเจรจาต่อรองที่เหนือกว่านั้นจะได้มาโดยการยึดครองสมรภูมิรบอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ด้วยการลดศักยภาพในการทำสงครามของฝ่ายตรงข้ามให้ลดน้อยถอยลงจนไม่หลงเหลืออำนาจกำลังรบในพื้นที่สู้รบอย่างเป็นรูปธรรม และการลดทอนศักยภาพในการสู้รบก็ต้องดำเนินการควบคู่กับการลดทอนศักยภาพการสู้รบทางเศรษฐกิจและทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามให้ลดน้อยถอยลงจนไม่อาจนำมาเสริมกำลังการต่อสู้ด้วยอาวุธในสนามรบได้ และตรรกะเหตุผลตามแนวคิดอันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในนักการทหารดังกล่าวย่อมถูกนำมาอธิบายแนวทางการได้มาซึ่งชัยชนะของรัฐในพื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้ได้ด้วยการเจรจาต่อรองที่เหนือกว่าฝ่ายขบวนการก่อการร้ายทั้งหลายในพื้นที่ และนั่นจะนำมาซึ่งการคงไว้ซึ่งอธิปไตย ผลประโยชน์และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติไว้ให้คงอยู่ได้โดยสมบูรณ์
ความเข้าใจในตรรกะเหตุผลพื้นฐานของการเจรจาต่อรองเพื่อยุติสถานการณ์การต่อสู้ในพื้นที่ปลายด้ามขวานนั้น จำเป็นที่รัฐจะต้องตั้งหมุดหมายหลักสำคัญไปเพื่อการคงไว้ซึ่งอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนเอาไว้ให้แก่คนไทยทุกคนตามหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การคาดหวังเพียงเพื่อความสำเร็จในการยุติปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่ด้วยการเจรจาต่อรองผ่านกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจทำให้กระบวนการเจรจาต่อรองผ่านกระบวนการพูดคุยสันติสุขเกิดความเสี่ยงที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อเล่ห์เหลี่ยมที่เหนือชั้นของฝ่ายขบวนการร้ายแห่งนี้ได้ การมุ่งแต่จะให้เกิดความสงบเรียบร้อยของสถานการณ์ในพื้นที่โดยการตอบสนองความต้องการตามเงื่อนไขของฝ่ายขบวนการร้าย อาจก่อให้เกิดความหละหลวมในเส้นทางสู่สันติภาพที่มั่นคง และอาจนำไปสู่การสูญเสียอธิปไตย และบูรณภาพแห่งอาณาเขตของรัฐได้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ไม่พึงประสงค์ของรัฐ
การควบคุมพื้นที่ของรัฐให้อยู่เหนือกว่ากองกำลังติดอาวุธหรือกองโจรอาชญากรรมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชัดเจนได้นั้น จะเป็นเข็มมุ่งไปสู่การทำลายยุทธศาสตร์และโครงสร้างของขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐโดยเฉพาะกลุ่ม BRN ที่เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ยังคงมีศักยภาพในการสู้รบด้วยอาวุธกับรัฐอย่างเข้มแข็งในปัจจุบัน การควบคุมพื้นที่ของรัฐให้อยู่เหนือกว่ากลุ่มคนในขบวนการเหล่านั้นโดยเด็ดขาด จะส่งผลให้ขบวนการร้ายที่มีกลุ่มอาชญากรรม BRN เป็นกลุ่มหลักในขณะนี้ เกิดความอ่อนแอ ระส่ำระสาย ไม่มั่นใจในชัยชนะที่ถูกล้างสมองโดยแกนนำขบวนการร้ายที่สร้างภาพลวงตาสมาชิกแนวร่วมขบวนการมาโดยตลอด ปัจจัยการควบคุมพื้นที่สู้รบด้วยการเอาชนะกองกำลังกองโจรอย่างชัดเจน จะนำมาซึ่งการถดถอยทางยุทธศาสตร์จนทำให้กลุ่มขบวนการร้ายเหล่านั้น ขาดศักยภาพในการชี้นำและขาดศักยภาพในการต่อรองบนเวทีการพูดคุย และผลสำเร็จตามเป้าประสงค์ของรัฐในการเจรจาต่อรองก็อยู่ในมือของฝ่ายรัฐโดยที่ฝ่ายขบวนการร้ายไม่มีทางเลือก
หากแต่ที่ผ่านมาจากการเจรจาเพื่อสันติสุขอย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลาประมาณกว่า 10 ปีมาแล้ว กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลับมีอำนาจการเจรจาต่อรองที่เหนือกว่ารัฐมาโดยตลอด ด้วยการยื่นเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อขบวนการที่มากกว่ารัฐ ยื่นเงื่อนไขที่หมิ่นเหม่ต่อการแยกตนเองออกเป็นอิสระในการปกครองจากรัฐในรูปแบบต่างๆ ด้วยเล่ห์กลอันลึกซึ้ง สับขาหลอก อำพราง ซ่อนเงื่อนไขผ่านการเรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพการดำรงชีวิต อัตลักษณ์ประจำถิ่น วิถีเฉพาะที่ซ่อนกฎหมายอิสลาม ภาษาถิ่นเป็นภาษากลาง และการเรียกร้องให้มีกองกำลังติดอาวุธประจำถิ่น(กำลังทหาร) ของตน เหล่านี้ล้วนเป็นเงื่อนไขอันล่อแหลมต่ออธิปไตยหนึ่งเดียวของรัฐ สู่การเป็นอิสรภาพของดินแดนปาตานีที่รัฐยังรู้ไม่เท่าทัน โดยกลุ่มอาชญากรรม BRN ยังคงใช้กองโจรของขบวนการปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรงเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจการเจรจาต่อรองมาโดยตลอด โดยขบวนการร้ายแห่งนี้ดำเนินการขับเคลื่อนควบคู่กับขยายงานด้านการเมืองทั้งในสภาและในพื้นที่อย่างคงเส้นคงวา โดยเฉพาะงานจัดตั้งและขยายฐานมวลชนทั้งเด็ก เยาวชน นักวิชาการ นักการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติอย่างเข้มแข็งและเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐสู่รัฐเอกราชปาตานี ทั้งยังขับเคลื่อนการต่อสู้ที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศเพื่อสร้างความชอบธรรมและให้การสนับสนุนทั้งด้านการเงินและการสนับสนุนจากต่างประเทศอย่างมีจังหวะก้าวที่สอดประสานเสริมพลังการต่อสู้ด้วยอาวุธของกองโจรในพื้นที่ที่เข้มแข็งต่อเนื่องยาวนาน
การก่อเหตุร้ายสร้างสถานการณ์ความรุนแรงยังคงถูกใช้เป็นแนวทางหลักในการต่อสู้กับรัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำรงสถานะของขบวนการร้ายให้โลกได้รับรู้และเป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่ตลอดจนแนวร่วมมุมกลับจากนักวิชาการ สร้างความหวาดกลัวให้คนในพื้นที่ขาดความเชื่อมั่นฝ่ายรัฐ ส่งเสริมงานทางด้านการเมือง โดยเฉพาะให้เข้าสู่เงื่อนไขการขัดกันด้วยอาวุธ และการกำหนดใจตนเอง ควบคู่กับการบิดเบือน ทำลายความชอบธรรมในการรักษากฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐให้เป็นการขัดหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อให้การต่อสู้ด้วยอาวุธของกองโจร BRN เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปลดปล่อยอำนาจรัฐ และยึดครองพื้นที่ปลายด้ามขวานได้ในทางปฏิบัติ สู่อำนาจการเจรจาต่อรองที่เหนือกว่ารัฐจนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่รัฐยังคงแยกส่วนการพูดคุยเพื่อสันติสุขในการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับมิติอื่นๆ โดยรัฐยังไม่เข้าใจตรรกะพื้นฐานการเจรจาต่อรองที่ต้องอาศัยการควบคุมพื้นที่สู้รบให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการเอาชนะกองกองลังติดอาวุธของขบวนการร้ายแห่งนี้ให้ได้ก่อน จึงจะสามารถเจรจาต่อรองได้อย่างสัมฤทธิ์ผล