ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ การทำความเข้าใจข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพูดจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่าง "หมิ่นประมาท" และ "ดูหมิ่น" ซึ่งหลายคนยังคงสับสน บทความนี้จะสรุปให้เข้าใจง่ายและรวดเร็ว

ความผิดฐาน หมิ่นประมาท (มาตรา 326) คือการใส่ความหรือกล่าวหาผู้อื่นต่อ บุคคลที่สาม ทำให้เขาเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง หัวใจสำคัญคือ การเผยแพร่ เรื่องราวออกไปสู่สาธารณะหรือกลุ่มคนอื่น ๆ เพื่อให้รับรู้และเข้าใจในทางที่ไม่ดี เช่น การโพสต์ข้อความกล่าวหาใครบางคนบนเฟซบุ๊ก ซึ่งมีคนอื่นเห็นและเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย โทษสำหรับความผิดนี้คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นการกระทำผ่านสื่อออนไลน์ โทษจะหนักขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

ส่วนความผิดฐาน ดูหมิ่น (มาตรา 393) คือการแสดงกิริยาหรือวาจาที่ดูถูก เหยียดหยาม หรือด่าทอผู้อื่น โดยตรงต่อหน้า ทำให้เขาอับอายหรือเสียหาย การกระทำนี้ไม่จำเป็นต้องมีบุคคลที่สามรับรู้ เช่น การด่าทอหรือชี้หน้าด่ากันในวงสนทนาแบบตัวต่อตัว ซึ่งถือเป็นการทำร้ายความรู้สึกของผู้ถูกกระทำโดยตรง โทษสำหรับความผิดนี้เบากว่าหมิ่นประมาท คือ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยสรุปคือ หมิ่นประมาทเน้นการทำลายชื่อเสียงต่อสาธารณะ ขณะที่ดูหมิ่นเน้นการทำร้ายความรู้สึกส่วนตัว และมีโทษที่แตกต่างกัน การรู้เท่าทันกฎหมายจะช่วยให้เราใช้สื่อสารได้อย่างปลอดภัยและไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นครับ

คดีหมิ่นประมาทเป็น ความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งหมายความว่า ผู้เสียหายสามารถยอมความและถอนคำร้องทุกข์ได้ตลอดเวลา ทำให้คดี สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ ทั้งในชั้นสอบสวนของตำรวจ ชั้นอัยการ หรือในชั้นศาล การไกล่เกลี่ยช่วยให้คู่กรณีสามารถหาทางออกร่วมกันได้ เช่น การขอโทษ การชดใช้ค่าเสียหาย หรือการแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาคดีในศาลให้เสียเวลาและค่าใช้จ่าย

สำหรับนักการเมืองโดยเฉพาะบุคคลที่เคยอยู่ขั้วตรงข้ามทางการเมือง ล่าสุดข้ามมาอยู่ขั้วเดียวกันแล้ว อย่าง นายสุชาติ ชมกลิ่น  ที่ฟ้อง นางสาวรักชนก ศรีนอก ในคดีหมิ่นประมาท แม้จะมีข่าวว่าคุณสุชาติยืนยันว่าจะไม่ไกล่เกลี่ย แต่ในทางปฏิบัติแล้วการไกล่เกลี่ยยังคงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา