รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

บทบาทของอาจารย์และบุคลากรมหาวิทยาลัยนั้นกว้างกว่าการสอนหนังสือ การผลิตงานวิจัย และการทำงานประจำ พลังของของคนมหาวิทยาลัยจึงไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่ภายในห้องเรียนห้องปฏิบัติการ หรือสำนักงาน แต่ยังขยายออกไปสู่การทำงานภายนอกมหาวิทยาลัยที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม

เหตุผลหลักที่ทำให้อาจารย์และบุคลากรเลือกทำงานนอกเหนือจากงานประจำในมหาวิทยาลัยนั้นมีหลายประการ ประการแรกคือ การเชื่อมโยงกับโลกแห่งความจริง งานสอนและงานวิจัยที่ดีไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยตัดขาดจากสภาพการณ์จริงในสังคม การที่อาจารย์ออกไปทำงานนอกจึงทำให้เขาได้สัมผัสโจทย์ปัญหาใหม่ ๆ และเข้าใจพลวัตของสังคมและอุตสาหกรรม เมื่อกลับมาสอนในมหาวิทยาลัยก็สามารถถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองเหล่านี้แก่นักศึกษาได้ ทำให้การเรียนรู้มีชีวิตชีวาและทันต่อการเปลี่ยนแปลง

อีกเหตุผลหนึ่งคือการพัฒนาศักยภาพส่วนบุคคล การทำงานนอกมหาวิทยาลัยถือเป็นโอกาสในการต่อยอดทักษะและสร้างเครือข่ายใหม่ ๆ ที่กว้างขวางขึ้น ทั้งในเชิงวิชาการและวิชาชีพ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่ออาจารย์เอง แต่ยังสะท้อนกลับมาสู่มหาวิทยาลัยในรูปแบบของทุนทางปัญญาและชื่อเสียงที่ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของสถาบัน การที่อาจารย์ได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษา เข้าร่วมโครงการกับภาคเอกชน หรือร่วมทำวิจัยกับองค์กรระหว่างประเทศ ล้วนแต่เพิ่มโอกาสให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายความร่วมมือในวงกว้าง

การทำงานนอกยังช่วยสร้างคุณค่าให้กับสังคมโดยตรง อาจารย์และบุคลากรสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาที่ชุมชนหรือองค์กรกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งถือเป็นการบริการวิชาการที่จับต้องได้และสอดคล้องกับพันธกิจของมหาวิทยาลัยในด้านการอุทิศตนเพื่อสังคม การที่บุคลากรมีช่องทางในการขยายผลการทำงานออกไปนอกกำแพงมหาวิทยาลัย ย่อมทำให้บทบาทของมหาวิทยาลัยใกล้ชิดกับสังคมมากขึ้น

อย่างไรก็ดี การเปิดโอกาสให้อาจารย์และบุคลากรทำงานนอกไม่ได้ปราศจากความท้าทายและผลกระทบ ในทางหนึ่ง มหาวิทยาลัยได้รับประโยชน์จากการที่บุคลากรสร้างเครือข่ายและชื่อเสียงจากงานนอก แต่ในอีกทางหนึ่งก็อาจเผชิญกับความเสี่ยง หากบุคลากรทุ่มเทเวลาให้งานภายนอกมากจนเกินไป คุณภาพการสอนและงานประจำภายในอาจถดถอยลง รวมถึงความเสี่ยงด้านผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสถาบัน

สำหรับผู้บริหารมหาวิทยาลัย การสนับสนุนให้บุคลากรทำงานนอกเป็นทั้งโอกาสและแรงกดดันในเวลาเดียวกัน หากนโยบายมีความยืดหยุ่นและทันสมัย มหาวิทยาลัยก็จะถูกมองว่าเป็นสถาบันที่เปิดกว้างและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง แต่หากขาดความชัดเจนหรือความเป็นธรรม การสนับสนุนเช่นนี้อาจกลายเป็นภาระและสร้างความเหลื่อมล้ำในหมู่บุคลากรได้

สำหรับอาจารย์และบุคลากร งานนอกคือพื้นที่ในการเติบโต แต่ก็อาจกลายเป็นภาระหากไม่มีการจัดการเวลาอย่างรอบคอบ ภาวะทำงานหนักเกินไปจนขาดสมดุลชีวิตหรือแม้แต่การถูกตั้งคำถามด้านจริยธรรมอาจส่งผลเสียต่อทั้งตัวบุคลากรและสถาบัน ขณะที่นักศึกษาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน หากอาจารย์จัดสมดุลได้ดี นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ใหม่ ๆ และมีโอกาสเชื่อมโยงกับโลกการทำงาน แต่หากไม่ นักศึกษาก็อาจรู้สึกถูกละเลยและคุณภาพการเรียนรู้ก็อาจถดถอย

ในภาพรวม สิ่งที่ท้าทายที่สุดเกี่ยวกับการทำงานนอกของอาจารย์และบุคลากรควรคือ การสร้าง “สมดุล” ที่เหมาะสมระหว่างงานนอกและงานในมหาวิทยาลัย สมดุลที่ว่าไม่ควรเป็นเรื่องการตัดสินใจส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีกรอบนโยบายที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องมีกลไกในการเปิดเผยข้อมูลการทำงานนอกของบุคลากร มีระบบพิจารณาอนุมัติที่ตรวจสอบได้ และมีแนวทางจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างรอบด้าน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหา แต่ยังสร้างความไว้วางใจระหว่างมหาวิทยาลัย บุคลากร นักศึกษา และสังคม

นโยบายที่ดีควรตั้งอยู่บนหลักการที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพการสอนและการดูแลนักศึกษาเป็นลำดับแรก ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงเสรีภาพทางวิชาการและสิทธิในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ต้องไม่สร้างภาระทางเอกสารหรือกฎระเบียบเกินควรจนกลายเป็นการปิดกั้นโอกาส และต้องเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกกลุ่มเข้าถึงอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่เฉพาะคนที่มีเครือข่ายหรือชื่อเสียงอยู่แล้ว และที่สำคัญ มหาวิทยาลัยต้องมีเกณฑ์ในการติดตามผลและวัดความสำเร็จของงานนอก ไม่ใช่เพียงเพื่อการควบคุม แต่เพื่อทำความเข้าใจว่า งานนอกนั้นสร้างคุณค่าอย่างไรต่อคุณภาพการเรียนการสอน การวิจัย และการเชื่อมโยงกับสังคม เมื่อการติดตามผลทำอย่างเบาบางแต่มีประสิทธิภาพ มหาวิทยาลัยก็จะได้ข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการวางแผนเชิงนโยบาย โดยไม่สร้างภาระที่ไม่จำเป็นแก่บุคลากร

การเปิดโอกาสให้อาจารย์และบุคลากรทำงานนอกจึงไม่ใช่เรื่องของการควบคุมหรือปล่อยเสรีจนเกินไป แต่คือการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจได้ว่างานนอกจะไม่บั่นทอนคุณภาพของงานในมหาวิทยาลัย ในทางตรงกันข้าม งานนอกจะกลับมาเสริมพลังให้กับงานใน ทำให้ห้องเรียนมีชีวิตชีวา งานวิจัยมีความเชื่อมโยง และการบริการวิชาการมีมิติที่จับต้องได้มากขึ้น

มหาวิทยาลัยควรมองงานนอกไม่ใช่ในฐานะ “ภัยคุกคาม” แต่ในฐานะ “ทรัพยากร” หากสามารถกำหนดกรอบกำกับที่โปร่งใสและเป็นธรรม งานนอกจะกลายเป็นพลังเสริมที่ทำให้มหาวิทยาลัยเติบโต บุคลากรมีความสุข นักศึกษาได้รับประโยชน์ และสังคมได้สัมผัสถึงคุณค่าขององค์ความรู้ที่แท้จริง

พลังของคนมหาวิทยาลัยอยู่ที่ความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานภายในกับการแสดงศักยภาพภายนอก หากมหาวิทยาลัยรู้จักมองและบริหารพลังนี้อย่างรอบด้าน งานนอกจะไม่ใช่สิ่งที่ควรมองด้วยความระแวง แต่จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้มหาวิทยาลัยและสังคมก้าวไปข้างหน้าด้วยกันครับ