สถาพร ศรีสัจจัง
แล้วสิ่งที่ศาสนาพุทธเรียกว่า “กรรม” ก็ทำงานให้เห็นชัดๆอีกครั้ง!
คำนี้ ผู้คนในยุคที่ตีความคำว่า “วัตถุ” หมายถึงสิ่งที่จับต้องได้ด้วยมือ เห็นได้ด้วยตาเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็น “วัตถุ” หรือ “สสาร” (object/material/instance/stuff (สิ่งของ) raw material (วัตถุดิบ) goods (สินค้า) อาจมองเห็นเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องของพวกไม่มี “เหตุผล” เป็นพวกไม่มีความคิดเป็น วิทยาศาสตร์ และบางรายอาจถึงขนาดดูแคลนว่าเป็นเรื่องของพวกคนโง่งมงายไปโน่น
ก็ไม่ใช่เรื่องความผิดความถูกอะไร สำหรับยุคสมัยที่ “ระบบการเรียนรู้” หรือที่เรียกว่า “ระบบการศึกษา” (อะไรนั่น) ของสังคมไทย (ที่เรียกว่า “ยุคใหม่”) เป็นระบบที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ระบบทาสทางความคิด” ของชาติตะวันตกโดย แทบจะสิ้นเชิงในปัจจุบัน
ทั้งๆที่เพิ่งไปสมาทานระบบคิดดังกล่าวนั้น มาทำลายรากของระบบการคิดแบบของตัวเองอย่าง“ล่อนจ้อน” แบบจริงๆจังๆน่าจะเกิน 100 ปี (หรือเพียงศตวรรษเดียว) มานี้เอง
เพราะก่อนหน้านั้น แม้ในช่วงยามที่บรรดาจักรวรรดินิยมยุคเก่าอย่างโปรตุเกส ดัตช์ (หรือ ฮอลันดาหรือเนเธอแลนด์ในปจจุบัน) อังกฤษ และ ฝรั่งเศส มาล่าเมืองขึ้นในแถบถิ่นบ้านเรา จนประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างทุกประเทศต้องตกเป็นเมืองขึ้นกันไปทั่วหน้านั้น ชนชั้นนำของเราภายใต้การนำของ “กษัตริย์” ก็ล้วนใช้ภูมิปัญญาที่เกิดจากระบบการเรียนรู้แบบเก่าของเราเองเอาตัวรอดจากการต้องกลายเป็น “ทาส” ชาติอื่นอย่างเป็นรูปธรรมมาได้!
คำเตือนฝากของชนชั้นนำยุคต้นรัตนโกสินทร์เช่นกระแสพระราชดำรัสของล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 ที่ว่า“… ต่อไปภายหน้า การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่งให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขาแต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว”
เพราะเราไม่ “ระวัง” และ เสือก “นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว” ผู้คนในประเทศ โดยเฉพาะชนชั้นนำยุคใหม่ของระบบที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ตั้งแต่ยุค “นักการเมือง” (ทั้งทหารและพลเรือน) เป็นใหญ่ (หลังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเมื่อพ.ศ.2475) ก็ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศไทยต้องรับชะตากรรมตกเป็นทาส “ระบบคิด-ระบบคุณค่า” ของสังคมตะวันตกหนักขึ้น และหนักขึ้นๆ! จนถึงเมื่อวันนี้ ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ทุกระบบที่เป็นโครงสร้างทางสังคมของประเทศ เช่น ระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา และระบบวัฒนธรรมทั้งสิ้นทั้งปวง(รวมศาสนาด้วย) เน่าจนสนิทไปเรียบร้อยจนเกินจะเยียวยาแล้วละกระมัง!
ระบบเช่นที่ว่านี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่สุดของความไม่เข้าใจเรื่องกรรมตามหลักการแท้จริงของพระพุทธศาสนาที่ห่มคลุมคติความเชื่อของผู้คนในสังคมนี้มายาวนานนับเป็นพันปี!
ถ้าใครที่บังเอิญได้อ่านบทความนี้ และอยากรู้อยาก “กลับลำ” ไปรู้ว่าแล้วไอ้ที่เรียกว่า “กรรม” ตามหลักการที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาซึ่งช่วยคุ้มครองสังคมไทยมาอย่างยาวนานที่ว่าๆนะ เป็นอย่างไรกันเล่า
ก็จะขอแนะนำไห้ไปอ่าน (แบบรู้จักใช้สติพิจารณาเพื่อให้เกิด “ปัญญา”) ข้ออรรถาธิบายในเรื่องนี้ ที่คิดว่าอ่านแล้วน่าจะเข้าใจสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน!
นั่นคือ หนังสือเรื่อง “หลักกรรมสำหรับคนสมัยใหม่”โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ประยุทธ ปยุตฺโต) ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นจากธรรมกถา ที่ท่านได้ปาฐกถา แก่พระธรรมทูต ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพมหานครตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2529 จัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือครั้งแรกเมื่อพ.ศ.2531 และพิมพ์ครั้งล่าสุด(เท่าที่ทราบ) เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 คือเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง
ถ้าหาฉบับเต็มที่เป็นหนังสือไม่ได้ (เพราะกรรม?) ก็ลองคลิ๊กเข้าไปถาม “อากู๋” ดูตามวิถีของคนยุคดิจิทัล)ก็น่าจะได้พบเห็น
และที่จั่วบรรทัดแรกไว้ว่า “แล้วสิ่งที่ศาสนาพุทธเรียกว่า “กรรม” ก็ทำงานให้เห็นนั้น ก็คือ อุทาหรณ์เรื่อง “กรรมของมหาเศรษฐีใหญ่ที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร! ซึ่งเพิ่งปรากฏชัดในวันที่ 9 กันยายน ที่เพิ่งพ้นผ่านมาหยกๆนี่เอง
นั่นคือ เขาเพิ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ต้องกลับไป “ติดคุก” 1 ปีนั่นแหละ! (เพราะทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษลดโทษให้ถึง 7 ปีมาก่อนหน้านี้)!
ความอหังการ์ที่เคยประกาศแบบไม่ยี่หระกับ “กรรม” ที่เคยทำไว้ในอดีตเมื่อครั้งยังมีอำนาจล้นมือ ทำนองว่า จะเดินทางกลับประเทศไทยแบบเท่ๆ ชนิด “จะต้องไม่ติดคุกสักวันเดียว” เมื่อนานมาแล้ว ก็ถูก “กฎแห่งกรรม” พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถ “แก้กรรม” ด้วยเงินและอำนาจได้จริงในวันนี้!
เหมือนกับคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เคย “ทรงอำนาจ” รวมถึงบรรดาพวก “มหาเถร” ทรงศีลซึ่งแอบแฝงพระพุทธศาสนาทำชั่วทำบาปที่เพิ่งถูก “กรรมตามทัน” ก่อนหน้านี้ (และที่กำลังเป็นอยู่) ที่ได้รับการพิพากษาโทษจากสังคมไทย ตาม “กรรม” ที่ก่อไว้กันไปแบบถ้วนหน้าแล้วนั่นแหละ!
เฉพาะคุณทักษิณและบริวารผู้ร่วม “ก่อกรรม” (ทั้งที่ก่อแล้วและยังมีเจตนาอยู่ในมโนสำนึกตอนนี้) คงยังจะต้อง “ใช้กรรม” ต่อจากนี้อีกไม่น้อยละกระมัง เพราะดูเหมือนจะยังไม่ “หมดกรรม” เอาง่ายๆเป็นแน่แท้
เพิ่งลงจากเครื่องบินส่วนตัวราคามหาศาลมาแท้ๆ มีบ้านหลังใหญ่โตมโหฬารแท้ๆ มีรถหรูราคาแพงลิบลิ่วแท้ๆ มีข้าทาสบริวารอยู่มากมายแท้ๆ มีเงินเก็บทั้งเงินสด ทั้งเงินฝาก จนนับจำนวน และ แหล่งเก็บไม่ถ้วนอยู่แท้ๆ มีลูกมีหลานญาติมิตรมากมายอยู่แท้ๆฯลฯ กลับต้องมาติดคุกติดตะรางให้เสื่อมเกียรติเสื่อมศักดิ์ กลับไม่ได้เสวยสุขจากสิ่งที่สั่งสมมาแบบละโมภมาก แบบไม่เคยรู้จักพอรู้จักเพียง
อย่างนี้ในฐานะที่ คุณทักษิณ เองเคยแสดงตัวนักแสดงตัวหนา ว่าเป็น “ชาวพุทธ” ที่มี “ศรัทธา” ต่อพระศาสนาสูงยิ่งคนหนึ่ง แต่กลับมาต้องติดคุกติดตะรางเอาง่ายๆ (ทั้งที่เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว) อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าเป็นเพราะ “กรรม” ที่ทำมาแล้ว ก็คงยากที่จะหาเหตุผลอื่นมาอธิบายได้อยู่นะว่าเป็นเพราะอะไร?
หรือจะให้อธิบายว่า ที่ต้องเป็นไปเช่นนี้ เพราะคำสาปแช่งของอริยะสงฆ์อย่างท่านมหาบัว ญาณสัมปันโน แต่เมื่อครั้งกระโน้น!!?