ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิต
คณะการทูตการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต
ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงสัญญาณความเปลี่ยนแปลงของระบบระหว่างประเทศอย่างน่าสนใจ นั่นคือ การประชุมสุดยอดขององค์การเพื่อความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เทียนจิน รวมถึงงานพาเหรดทหารครั้งใหญ่เพื่อฉลองวันครบรอบ 80 ปี ชัยชนะของประชาชนจีนในสงครามต่อต้านการรุกรานจากญี่ปุ่นและสงครามต่อต้านฟาสซิสต์ของโลก ณ จุตรัสเทียอันเหมิน หรืองานทั้งสองนี้จะเป็นสัญญาณการแบ่งขั้วของโลกครั้งใหม่ วันนี้ลองมาวิเคราะห์ไปด้วยกันครับ
เริ่มต้นที่การประชุม SCO ครั้งที่ 25 ที่เทียนจิน ซึ่งถือเป็นเวทีแสดงพลังทางการทูตของจีน ทั้งในแง่การขยายสมาชิกและการยกระดับศักยภาพของภูมิภาค เช่น เสนอก่อตั้งธนาคารพัฒนา SCO และสนับสนุนการใช้ “อิเล็กโทร-หยวน” (electro-yuan) ในการชำระเงินโครงการพลังงาน นอกจากนี้ ความร่วมมือด้าน AI ก็ถูกเน้นย้ำ โดยสมาชิกย้ำถึงสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงเทคโนโลยี แม้จะมีสัญลักษณ์ของความตึงเครียดแฝงอยู่บ้าง — เช่น อินเดียไม่ร่วมลงนามแถลงการณ์ร่วมบางฉบับที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย แต่ภาพรวมก็ถือว่าเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนถึงการเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ท่ามกลางหลากหลายประเทศ ที่ดูๆแล้ว ก็ดูจะเป็นประเทศที่ไม่ค่อยเอาสหรัฐ หรือสหรัฐไม่ค่อยเอาซะเป็นส่วนใหญ่
กล่าวได้ว่า ภาพที่กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสหรัฐ เช่น ภาพ “Modi – Xi – Putin” ยิ้มแย้มเคียงกันในที่ประชุม SCO อาจเป็นภาพของ “การจัดตั้งขั้วอำนาจใหม่” ที่อาจท้าทายระบบตะวันตก และมันได้เกิดขึ้นแล้ว
มาต่อกันที่พาเหรดแห่งชาติ ที่ดูแล้วจะแสดงออกมากว่าแค่แสงสี
ไม่กี่วันถัดมา พี่จีนก็ได้จัดการสวนสนามทางสทหารใหญ่ที่สุดในรอบหกปี เพื่อฉลองครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะเหนือญี่ปุ่น ด้วยเทคโนโลยีรบสมัยใหม่ ซึ่งถือได้ว่า “จัดเต็ม” เรียกว่าขนมาให้ชมกันหมดว่า “ข้ามีอะไร” และก็ต้องบอกว่างานนี้ทั่วโลกก็คงรู้สึกเหมือนกันว่า จีน “ไม่ธรรมดา” ทั้ง ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก โดรน ระบบต่อต้านโดรน ไปจนถึงขีปนาวุธข้ามทวีปที่ติดหัวรบนิวเคลียร์รุ่นใหม่ได้ถึง 12 หัว โดรนไร้คนขับใต้น้ำ และอื่นๆอีกมากมาย ยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีทางทหารเหล่านี้ เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ในมิติทางการทหาร จีนก็ไม่ด้อยกว่าผู้ใดอีกแล้ว อีกทั้งยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่ต้องง้อไปขอซื้อใครเขา และที่สำคัญ นี่คือการบอกประเทศต่างๆว่า จีนพร้อมจะเป็นศูนย์กลางทางอำนาจและการทหารด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ภาพการปรากฏตัวของสามผู้ ที่ Xi ยืนเคียงข้าง Putin และ Kim Jong Un ถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ที่แหลมคม จนทั่วโลกต้องจับตามอง เพราะทั้งสามต่างถูกมองว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” สหรัฐด้วยกันทั้งสิ้น
จึงไมแปลก ที่จะถูกเรียกว่าเป็น “Axis of Upheaval”—สื่อถึงการรวมตัวของเครือข่ายอำนาจในภูมิภาคที่ท้าทายระบบโลกแบบเก่า นอกจากนี้ บทวิจารณ์จากตะวันตกมองว่าเป็นสัญญาณของการแสดงอำนาจทางทหารและการสะท้อนความสามารถต่อกรกับสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อมอีกต่อไป
ภาพของสัญญาณ “โลกแบ่งขั้ว” ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของการแสดงกำลังที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในการนำเสนอตัวเป็นตัวแทนประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ว่าสามารถสร้างระบบที่เป็นอิสระจากตะวันตกได้ ซึ่งสอดคล้องไปกับแนวทางที่จีนได้ทำมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ Soft Power เป็นการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและสาธารนูปโภคแทรกซึมเข้าไปในประเทศต่างๆอย่าง IRB
วันนี้ภาพชัด เรียกได้ว่าผลลัพธ์ของการดำเนินการอย่างแยบยลของจีน ได้ออกดอกออกผล เห็นได้จากประเทศสมาชิกที่มาร่วมประชุม SCO และผู้นำที่มาร่วมงานสวนสนาม เรียกได้ว่า งานนี้หลายประเทศยอมเปิดหน้าว่าเป็น “พวก” แบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ฝั่งตะวันตกกันอีกต่อไป
ในขณะที่ฝั่งสหรัฐแน่นอนว่า ไม่แฮปปี้ อย่างแรง จนทรัมป์ถึงกับออกมาโวยวายผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งในฝั่งของสหรัฐนั้น เมื่อเปิดศึกกับคนไปทั่วโลกด้วยนโยบายเพดานภาษีแล้ว สถานการณ์ของสหรัฐในฐานะผู้นำโลกก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะสูญเสียทั้งฐานเสียงและพันธมิตรไปไม่น้อย Soft power ที่เคยทำมาก็ถูกแทนที่ด้วยบทบาทของจีนเพราะดันไปยกเลิก เอาเป็นว่า จากภาพของผู้นำที่เป็นผู้ช่วยเหลืออุ้มชูผู้อื่น วันนี้กลายเป็นผู้นำที่เที่ยวไปกดขี่คนอื่นไปเสียหมด เรียกว่า อยู่ๆก็เตะหมูเข้าปากหมา ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำที่มีวุฒิภาวะไปแบบหล่อๆในเวทีระหว่างประเทศ
ไม่แน่ งานนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้องของอนาคตของโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่จะแบ่งขั้วออกเรื่อยๆ จนเห็นภาพที่ชัดเจน
งานนี้ต้องลุ้นกันต่อไป ว่าโลกจะแบ่งแยกออกจากกันแค่ไหน จะไปจนถึงจุดของความขัดแย้งและสงครามครั้งใหม่หรือไม่ ก็ต้องดูกันยาวๆ
สำหรับประเทศไทยเรา ก็ต้องบอกว่า ไม่ง่าย เพราะที่ผ่านมาเราพยายามเหยียบเรือสองแคมมาตลอด งานนี้อาจจะต้องคิดเผื่อไว้ล่วงหน้า ว่าถ้าวันหนึ่งโลกไปถึงจุดแบ่งขั้ว และเราถูกบีบให้ต้องเลือกจริงๆ จะเลือกใคร
เอวัง