ทวี สุรฤทธิกุล

ความตื่นเต้นพลิกแพลงแบบการเมืองไทยมีให้เห็นตลอดเวลา บ่อยครั้งที่ไม่เหมือนกับตำราที่เรียน และบางครั้งก็ “มหัศจรรย์พันลึก” เกินกว่าที่จะคาดคิดไปได้

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช “กูรูการเมืองไทย” ผู้ล่วงลับ มีฉายาในยุทธจักรเสียมล้อว่า “ซือแป๋แห่งซอยสวนพลู” รวมทั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็ยกย่องท่านเป็น “เสาหลักประชาธิปไตย” ในช่วงที่ท่าน “อุ้ม” รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ระหว่าง พ.ศ. 2523 – 2531 อันเป็นภาระที่หนักหนาสาหัส เพียงเพื่อรักษา “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ของประเทศไทยนี้ไว้

ท่านมีส่วนร่วมในการทำงานการเมืองด้วยอายุเพียง 35 ปี มาตั้งแต่ พ.ศ. 2489 โดยตั้งพรรคการเมืองพรรคแรกของไทยขึ้นเพื่อการเลือกตั้งในปีนั้น ชื่อพรรคก้าวหน้า ต่อมาได้ยุบรวมกับพรรคอื่น ๆ ตั้งเป็นพรรคประชาธิปัตย์ โดยที่ท่านเป็นเลขาธิการพรรคนี้เป็นคนแรก หลังรัฐประหาร 2490 ท่านได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ต่อมาใน พ.ศ. 2492 ท่านได้ลาออกจาก สส.เพราะไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้น เป็นที่ฮือฮามาก ถึงขั้นมีประชาชนมาขอปิดทองที่ตัวท่านถึงที่บ้านพัก

ใน พ.ศ. 2493 ท่านตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ได้รับการยอมรับว่าเป็นคอลัมนิสต์ที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพล รวมถึงในฐานะนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้เป็นที่ยกย่อง ว่ากันว่าบทความของท่านในช่วงกลางปี 2516 ในเรื่องการล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี ได้ปลุกเร้าสาธารณชนและนิสิตนักศึกษาให้ตื่นตัวขึ้นมาต่อสู้กับระบอบเผด็จการ อันนำมาซึ่งการเรียกร้องรัฐธรรมนูญของ “13 กบฏ” ในตอนต้นเดือนตุลาคม และตามมาตัวการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งเดินขบวนออกมาในวันที่ 13 แล้วไปเกิดประทะกับตำรวจในเช้าวันที่ 14 ข้างพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน แล้วเหตุการณ์ก็ลุกลามเป็นจลาจลไปทั่วถนนราชดำเนิน จนถึงตอนค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้มีพระราชดำรัสขอให้ยุติ เหตุการณ์จึงได้สงบลง

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติหลังเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516” แล้วท่านก็ก่อตั้งพรรคกิจสังคม ลงเลือกตั้งในปี 2518 ได้ สส.มา 18 คน แต่ด้วยบารมีของท่านได้ทำให้ท่านได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงเวลานั้นมีปัญหาและวุ่นวายมากทั้งในและนอกสภา นอกสภาก็มีการเดินขบวนประท้วงของมวลชนกลุ่มต่าง ๆ แทบทุกวัน ในสภาก็มี สส.ของพรรคร่วมรัฐบาลคอยจ้องจะล้มรัฐบาลอยู่โดยตลอด จนต้องทำการยุบสภาในตอนปลายปี 2518 นั้นเอง แล้วก็มีเลือกตั้งใหม่ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 แต่ท่านก็แพ้เลือกตั้ง อย่างไรบ้านเมืองก็ยังไม่สงบสุข รัฐบาลหลังเลือกตั้งเอาไม่อยู่ มีประท้วงวุ่นวาย มีขบวนการปลุกผีคอมมิวนิสต์ “ขวาพิฆาตซ้าย” รัฐบาลให้ทหารและตำรวจเข้าปราบการชุมนุมของนักศึกษา ในวันที่ 6 ตุลาคมปีนั้น ตามมาด้วยการรัฐประหารในตอนค่ำ ในเผด็จการยุคใหม่นี้ท่านก็ต่อสู้กับเหล่าเผด็จการด้วยปากกาในหนังสือพิมพ์สยามรัฐของท่านอย่างดุเดือด ด้วยคอลัมน์ “ซอยสวนพลู” อันโด่งดัง รวมถึงเมื่อมีการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2522 และเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นพลเอกเปรมในปีต่อมา จนเมื่อสังคมไทย “เบื่อป๋า” ในปี 2531 ท่านก็ยังใช้ปากกาในคอลัมน์ซอยสวนพลูนั้นปกป้อง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มาโดยตลอด

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2538 เมื่อ 30 ปีก่อน ช่วงเวลานี้ “บรรดาคนรุ่นใหม่” ที่โลกแล่นอยู่ในทางการเมืองเวลานี้ โดยเฉพาะที่อยู่ในพรรคสีส้ม น่าจะยังไม่ค่อย “รู้ความ” อะไรมากนัก ถ้าวันนี้คนเหล่านั้นที่มีอายุ 30 ปลาย ๆ หรือ 40 ต้น ๆ ในเวลานั้นก็จะมีอายุราว ๆ สิบถึงสิบกว่าขวบ ถ้าเป็นภาษาชาวเหนือก็จะเรียกว่า “ละอ่อน” หรือ “เด็ก ๆ”

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีทั้งคนรักคนเกลียด คนที่รักท่านก็ยกย่องสรรเสริญท่าน ตั้งฉายาดี ๆ ให้กับท่าน ส่วนคนที่ไม่ชอบก็คิดตรงกันข้าม อย่างฉายาหนึ่งที่สื่อมวลชนบางคนตั้งให้ท่านในเวลานั้นก็คือ “เฒ่าจอมกะล่อน” รวมถึง “เฒ่าสารพัดพิษ” อันสื่อถึงความเจ้าเล่ห์  หรือมีพิษร้ายน่ากลัว แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็อาจจะหมายถึง ความสามารถในการพลิกแพลงแก้ไขปัญหาด้วยไหวพริบและสติปัญญา หรือมีความลาดรอบรู้เหนือผู้อื่นก็ได้

ในสมัยที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ยังทำหน้าที่ “เสาหลักประชาธิปไตย” ตั้งแต่ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ. 2489 มาจนถึงยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ใน พ.ศ. 2531 ท่านเคยให้ข้อคิดแก่สังคมไทย โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาที่รวมถึงคนรุ่นใหม่ในช่วงเวลาต่าง ๆ นั้นมาโดยตลอดว่า คนรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้จากคนรุ่นเก่า คนหนุ่มสาวนั้นมีข้อด้อย คือยังอ่อนประสบการณ์ โดยมีวาทะที่มีคนจดจำได้อย่างติดหูในยุคของท่านก็คือที่ท่านพูดและเขียนว่า “คนหนุ่มสาวนั้นยังไม่ไม่เคยแก่ แต่คนแก่เคยเป็นคนหนุ่มสาวมาก่อน”

ถ้าคนหนุ่มสาวยุคนั้น โดยเฉพาะในยุคที่ผู้เขียนเติบโตมาเป็นนิสิตนักศึกษา ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 ได้ทำตามที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์แนะนำ อย่างเช่น ท่านแนะนำให้นิสิตนักศึกษาไม่ใช้เสรีภาพเกินของเขต ในช่วงหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 บ้านเมืองก็อาจจะไม่เกิดรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยสิ่งที่ท่าแนะนำนั้นก็คือ ให้นิสิตนักศึกษาให้เกียรติแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบ้าง โดยเฉพาะควรมีการพูดคุยและปรึกษาหารือกัน ไม่ด้อยค่าผู้อาวุโสว่า “เฒ่าหัวหงอก - แก่เพราะกินข้าว – เฒ่ากะโหลกกะลา”

ผู้เขียนนำเสนออย่างนี้ เพราะเห็นว่าขณะนี้คนรุ่นใหม่กำลังเป็นใหญ่ในบ้านเมือง โดยดูจากการที่มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ กำลัง “คิดใหญ่ - คิดเหนือ” ต่อพรรคการเมืองที่มีคนที่มีอาวุโส และคิดว่าจะคุมพรรคของผู้อาวุดสนั้นได้ พูดตรง ๆ ก็คือพรรคประชาชนคิดจะคุมพรรคภูมิใจไทย ซึ่งสุดท้ายอาจจะคุมไม่ได้ และไม่ได้อะไรอย่างที่พรรคประชาชนคาดหวัง

ขณะที่เขียนบทความนี้ก็กำลังดูการถ่ายทอดสดจากรัฐสภา ว่าจะสามารถลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถเลือกได้ นั่นก็แสดงถึง “พลังคนแก่” ที่ชนะ “พลังคนหนุ่ม” แต่ถ้าเลือกได้ ก็อย่าเพิ่งไว้ใจว่า “คนแก่” จะยอมแพ้ง่าย ๆ พรรคเพื่อไทยนั้นมีคนแก่และ “เขี้ยว” ทางการเมืองอีกมาก รวมถึงพรรคภูมิใจไทยก็อาจจะไม่ทำตามที่พรรคประชาชนต้องการก็ได้ เช่น ไม่ยุบสภาในเวลา 4 เดือนนี้

“ละอ่อน” อาจจะถูกมองว่า “ปัญญาอ่อน” เพราะถูก “ความกะล่อน” หรือสติปัญญาและประสบการณ์ที่เหนือกว่าของ “คนแก่” จึงต้องระวังให้จงหนัก !