สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังคงเป็นโจทย์ทางการเมืองที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ต้องเร่งกำหนดท่าทีและยุทธศาสตร์อย่างรอบคอบ เพราะปัญหานี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับ อธิปไตยและความมั่นคงของชาติ แต่ยังเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่เป็นคู่ขัดแย้ง และมีปัญหาซับซ้อนระหว่างผู้นำของทั้งสองฝ่าย ที่เชื่อกันว่า จะทำให้แนวโน้มความรุนแรงลดลงได้
ทว่าความซับซ้อนกลับยิ่งทวีคูณเมื่อ กระแสชาตินิยม ถูกปลุกเร้าผ่านสื่อและโซเชียลมีเดีย สร้างแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจทำให้การเจรจาเต็มไปด้วยความอ่อนไหวและไม่สามารถหาข้อยุติได้ง่าย นอกจากนี้ การลักลอบปัญหา แรงงานผิดกฎหมาย เข้าเมือง และการค้าชายแดนเถื่อน ยังซ้อนทับเข้าไปในมิติด้านสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้สถานการณ์ชายแดนเป็นทั้งประเด็นความมั่นคงและการพัฒนาในเวลาเดียวกัน
รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญแรงกดดันสองด้านพร้อมกัน ด้านหนึ่งต้องรักษาผลประโยชน์แห่งชาติและความมั่นคง อีกด้านหนึ่งต้องหลีกเลี่ยงการปะทะที่อาจบานปลายจนกระทบต่อ ภาพลักษณ์รัฐบาล และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่จะกลับไปสร้างสมดุลระหว่าง การป้องกันเชิงรุก กับ การทูตเชิงสร้างสรรค์ จึงเป็นโจทย์สำคัญในยุคนี้
แนวนโยบายที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ ได้แก่
1.การทูตเชิงรุก คือสิ่งที่หลายฝ่ายคาดหวัง และต้องก้าวให้นำฝ่ายกัมพูชา
2.สื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ จัดตั้ง ศูนย์ข้อมูลกลาง เพื่อรายงานข้อเท็จจริง ป้องกันข่าวปลอมและลดกระแสชาตินิยมที่อาจทำให้สถานการณ์ตึงเครียด
ที่สำคัญคือ นอกจากตัวผู้นำหรือนายกรัฐมนตรี ที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ จะต้องเป็นผู้ทีสามารถสร้างความเชื่อมั่นจากทั้งในและต่างประเทศได้ ไม่เช่นนั้น ไทยอาจต้องเผชิญปัญหาซ้ำซ้อนและซ้ำซาก