วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 คือวันที่เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ณ บ้านพักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี เสียงนั้นไม่ได้เพียงแต่ปลิดชีพชายผู้เป็นนักอนุรักษ์คนหนึ่ง แต่ยังเป็นเสียงที่ดังก้องไปทั่วแผ่นดินไทย ปลุกให้สังคมตื่นจากความหลับใหลและหันมามองความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง ชายผู้นั้นคือ สืบ นาคะเสถียร
สืบ นาคะเสถียร หรือชื่อเดิมคือ สืบยศ นาคะเสถียร เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2492 เขาเริ่มต้นชีวิตราชการในตำแหน่งพนักงานป่าไม้ตรี ก่อนจะศึกษาต่อด้านวนศาสตร์และทำงานวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่ามากมาย เขาเป็นที่รู้จักจากการอุทิศตนเพื่อปกป้องผืนป่ามาโดยตลอด โดยเฉพาะในโครงการที่สำคัญอย่างการต่อต้านการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลานในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และบทบาทที่สำคัญที่สุดคือการเป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งเป็นผืนป่าใหญ่ที่กำลังถูกคุกคามจากการบุกรุกและล่าสัตว์ของกลุ่มผู้มีอิทธิพล
ตลอดระยะเวลาที่เขาทำหน้าที่หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สืบต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การล่าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย รวมถึงการขาดแคลนกำลังคนและงบประมาณในการดูแลผืนป่า เสียงเรียกร้องและการทำงานอย่างหนักของเขาดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบสนองจากสังคมในวงกว้าง จนกระทั่งในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 สืบได้ตัดสินใจจบชีวิตลงเพื่อเป็น "การประท้วงต่อความไม่เป็นธรรม" และเป็น "การเรียกร้องครั้งสุดท้าย" ให้สังคมหันมาสนใจปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง
การจากไปของ สืบ นาคะเสถียร ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวงการอนุรักษ์ในประเทศไทย หลังจากนั้นไม่นาน ผืนป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้งก็ได้รับการประกาศให้เป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของสืบที่พยายามผลักดันมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้ง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ขึ้นเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ในการปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่าของเขาให้คงอยู่สืบไป
ทุกวันที่ 1 กันยายน จึงไม่ใช่แค่การรำลึกถึงการจากไปของนักอนุรักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นการย้ำเตือนให้ทุกคนตระหนักว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งมีค่าที่เราทุกคนต้องร่วมกันปกป้องรักษา เพื่อให้ผืนป่าและสัตว์ป่ายังคงเป็นมรดกที่ยั่งยืนสำหรับลูกหลานของเราในอนาคต