สถาพร ศรีสัจจัง

มีเอตทัคคะบางฝ่ายสรุปว่า นับแต่ปี พ.ศ.2544 ที่ ทักษิณ ชินวัตร สถาปนาระบบการเมืองแบบ“CEO.” ของระบบทุนนิยมเสรีขึ้นใช้ในสังคมไทย ปัญหาสารพัดสารพันก็เกิดขึ้นทับซ้อนสังคมไทยแบบนับไม่ถ้วน ระบบนี้มี “คีย์เวิร์ด” ที่เป็นหัวใจอย่างชัดเจนคือ “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด” ซึ่งสวนทางโดยสิ้นเชิงกับระบบเศรษฐกิจแบบ “พึ่งตัวเอง” หรือ “พอเพียง” ซึ่งเป็น “ราก” ของโครงสร้างชั้นล่างซึ่งตั้งอยู่บนคตินิยมตามปรัชญาของศาสนาพุทธที่ห่มคลุมจิตวิญญาณสังคมไทยมาหลายศตวรรษ

และย้อนแย้งอย่างรุนแรงกับแนวคิดทางเศรษฐกิจอย่าง “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” ของล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9

เมื่อถึงยามนี้ หลายฝ่ายบอกว่า “กรรม” ที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจ-การเมืองแบบที่ “กลุ่มทักษิณ”สถาปนาขึ้นนั้น กำลังสำแดง “ผลของกรรม” ต่อสังคมไทยอย่างรอบด้าน นับเป็น “กรรมประชาชาติ” ที่คนส่วนใหญ่ในชาติต้องร่วมกัน “แบกรับ” แบบไม่มีทางเลือก

ในขณะที่ “พวกนักการเมือง” ที่ร่วม “ก่อกรรม” (ตั้งแต่ช่วงพ.ศ.2544 จนถึงปัจจุบัน) ดังกล่าว ดูเหมือนจะ “มีทางเลือก” กันแทบถ้วนหน้า(ทั้งฝ่ายเทพฝ่ายมาร) เพราะเท่าที่สังเกตุ ถ้าไม่กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน ก็ล้วนมั่งคั่งมั่งมีกว่าชาวบ้านแทบทั้งสิ้น (ดูแค่อดีตบรรดาสส.จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยปากดีปากกล้า ก็น่าจะเห็นว่า มีใครที่จนลงกว่าเดิมบ้าง นอกจาก “สส.กวีแห่งเมืองพัทลุง อย่างคุณสมคิด  นวลเปียน 555)

ปีพ.ศ.2549 รัฐบาล “เผด็จการรัฐสภา” (คนพวกหนึ่งยุคนั้นเรียกเช่นนี้) ของทักษิณ ชินวัตร ถูกทหารภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน ผบ.ทบ.ขณะนั้นยึดอำนาจ ขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปปฏิบัติภารกิจอยู่ที่องค์การสหประชาชาติ ความปั่นป่วนวุ่นวายและไร้เสถียรภาพทางการเมืองก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น!

ถึงปีพ.ศ.2554 “สายเลือดทักษิณ” ตัวจริงก็กลับมาผงาดอีกครั้ง ในนามของน้องสาวในสายเลือดแท้ๆ(ผู้ไม่เคยผ่านประสบการณ์ทางการเมืองอะไรมาเลย) คือ “ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และเป็นนายกหญิงคนแรกของไทย โดยปรากฏตัวในนามของพรรค “เพื่อไทย” (เหล้าเก่าในขวดใหม่ของพรรค “ไทยรักไทย” และ “พลังประชาชน” ของทักษิณก่อนหน้านั้น)

จากปีพ.ศ.2544-2554 รวม 10 ปี บ้านเมืองไทยต้องตกอยู่ใน “ภาวะ” อย่างไรบ้าง?มี “กรรม” ที่ก่อขึ้นจากนักการเมืองอย่างไร?

ลองมาฟัง “บันทึกบ้านเมือง” ที่กวีคนหนึ่งเขียนไว้ในช่วงปีพ.ศ.นั้นดูสัก 1 บท ก็อาจจะพอทำให้เห็นภาพ (ที่จนบัดนี้ภาพเช่นนั้นก็ดูเหมือนจะหนักขึ้นจนน่าจะยากเยียวยาเสียแล้ว) เขาบรรยายไว้ดังนี้ :

@ หมายเหตุเรื่องเมืองสยามยามเดือนดับ/พร้อมๆแสงสุริยาคล้ายลาลับ/บ้านจะพ่ายเมืองจะพับลงพังภินท์/ทั้งแผ่นด้าวมืดดำดูช้ำหมอง/เป็นสีเลือดสีหนองไปเสียสิ้น/เหมือนสิ้นไร้คนดีในแผ่นดิน/มีแต่พวกโกงกินพวกกอบโกย…ฯ

@ แต่ละพลแต่ละพรรคแต่ละพวก/หวังกระซวกกันเหมือนโหงที่หิวโหย/เป็นเผ่าพันธุ์พวกรวยไม่มีโรย/กลางเสียงโอดเสียงโอยของทวยไทย/เหมือนยิ่ง “พัฒนา” ยิ่งล้าหลัง/ยิ่งวิกฤติยิ่งไร้หวังยิ่งไม่ไหว/เหมือนยิ่งเพิ่มสังคังเพิ่มจังไร/เห็นแล้วน่าสลดใจเสียจริงๆ/กลางสังคมขัดแย้งและแตกแยก/เหมือนเมืองไทยถูกกระแทกลงล้มกลิ้ง/ “อำนาจรัฐ” คือ “สินค้า” น่าแย่งชิง/ของพวกทากพวกปลิงพวกปล้นคน!

@ พอระฆังหงั่งเหง่งวังเวงแว่ว/ “การเลือกตั้งมาแล้ว” ก็สับสน/กลางสังคมมืดดับและอับจน/ประชาชนธรรมดาละล้าละลัง/ทั้งพรรคใหม่พรรคเก่าเน่าสนิท/แต่มันยังมีสิทธิ์(กฎหมายสั่ง)/แล้วจะให้เลือกใคร(หนักใจจัง)/เหมือนถูกนะจังงังแล้วครั้งนี้…ฯ

@ หมายเหตุเรื่องเมืองสยามยามเดือนดับ/สุริยาลาลับอับรังสี/จะให้ทำแบบไหน ยังไงดี?/ใครเมตตา บอกทีชี้ทางธรรม!…ฯ

@ ชี้ทาง “ไท” ให้ “ไทย” ได้พ้นทุกข์

จาก “นักการเมือง” ยุคเขมือบขย้ำ

จะสั่งสอนยังไงให้มันจำ

และรับ “กรรม” ที่มันก่อต่อประชา!!!”

จากปี 2554 จนถึงวันนี้ ผ่านมาร่วม 14 ปีเข้าแล้วเมืองไทยมีอะไรเปลี่ยนจากที่บทกวีบทนี้ได้บรรยายไว้บ้าง? หลังจาก “กรรม” ครั้งนั้น ได้ทำหน้าที่ขับไล่ “นายกฯ ณ ปีนั้น จนต้องหนีออกนอกประเทศไปเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่ต่างแดนจนถึงบัดนี้แล้ว หลังจากนี้ “กรรม” จะไล่บี้ใคร ให้เรียนรู้ว่า “นรกมีจริง” เป็นคนหรือเป็น “กลุ่ม” ต่อไป?!!