ทวี สุรฤทธิกุล
ว่ากันว่า “คนไทยลืมง่าย” อันที่จริง “คนไทยไม่จดไม่จำ” เสียมากกว่า
ขณะที่เขียนบทความนี้เป็นตอนเช้าวันที่ 29 สิงหาคม 2568 อันเป็นวันที่ผู้คนจำนวนมากใจจดใจจ่ออยู่กับ “ชะตากรรม” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่เวลาบ่ายสามโมงจะมีการอ่านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะมีความผิดหรือไม่ในการที่ไปพูดเอาใจเขมร กระทำการอันเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศและทำให้ประเทศการเสื่อมเสียศักดิศรี
ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็มีผู้วิเคราะห์และทนายไว้มากมาย ส่วนใหญ่ก็ 50 : 50 คือไม่กล้าฟันธง แต่ส่วนตัวผู้เขียนนั้นมองแบบนักรัฐศาสตร์ เชื่อว่า “ไม่รอด” แต่ก็เผื่อใจไว้ว่า “ถ้ารอด” ก็คงเป็นเพราะนายกรัฐมนตรีคนนี้ “โง่โดยสุจริต” คล้าย ๆ กับในสมัยที่พ่อของเธอได้รับ “ความกรุณา” จากศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2544 ว่า “บกพร่องโดยสุจริต”
เพื่อปรับอารมณ์ “ท้องผูกทางการเมือง” อันแสนพะอืดพะอมและร้อนรุ่มในใจ อยากจะนำท่านผู้อ่านไปรับฟังเรื่องราวที่น่าจะพะอืดพะอมและร้อนรุ่มน้อยกว่า ก็คือข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ที่ตอนแรกมีข่าวว่าน่าจะเป็นนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตที่เหลือของพรรคเพื่อไทย แต่ล่าสุดกลายเป็นว่าอาจจะเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ปัจจุบันเป็นองคมนตรี แต่ก็เชื่อว่ายังมีความเชื่อมโยงกับการเมืองไทยในปัจจุบัน “ที่ไม่สามารถตัดขาดได้”
ข่าวนี้ว่ากันว่าเป็นดำริของ “นายใหญ่” ในกรณีที่ลูกสาวของเขาไม่รอด ส่วนการที่นายใหญ่ไม่เอานายชัยเกษมขึ้นมาแทนนั้น ก็เพราะเขามองไปที่การเลือกตั้งในครั้งต่อไป ที่นายชัยเกษม “มีบารมีไม่พอ” ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.เป็นปริมาณมาก ๆ ได้
ผู้เขียนขออธิบายคำว่า “มีบารมีไม่พอ” ในกรณีการเมืองของประเทศไทยว่า เกี่ยวเนื่องด้วยกิจกรรมหลัก ๆ ของพรรคการเมืองไทยใน 2-3 เรื่อง
เรื่องแรก ชื่อเสียงของผู้นำพรรค ที่จะต้องสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาอยู่ในพรรค โดยเฉพาะการ “เคาะกะลา” ให้มีผู้มาสมัครเข้าเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค อันสืบเนื่องไปถึงเรื่องที่สองคือ การระดมทุนเพื่อสู้เลือกตั้ง เพราะถ้าทำตามแบบที่นายใหญ่เคยทำมาก็คือ “ตกเบ็ด” หาสปอนเซอร์ที่จะมาเป็นนายทุนจากทุกภาคส่วน แล้วค่อยแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนนายทุนเหล่านั้นให้ภายหลังจากการเป็นรัฐบาลอีกที เรื่องสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ เพราะพรรคเพื่อไทยในสภาวะนี้คงจะไม่ได้ สส.เป็นเสียงข้างมากในสภา จำเป็นจะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลผสม จึงต้องหาผู้นำที่จะ “เชื่อมดูด” เอาพรรคอื่น ๆ เข้ามาเป็นรัฐบาลร่วมด้วยได้โดยง่าย
มีข่าวร่ำลืออีกว่าเรื่องที่จะเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ขึ้นเป็นรัฐมนตรีในครั้งนี้(ภายหลังที่นางสาวแพทองธาร “ไม่รอด”) นายใหญ่ได้คุยกับผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคประชาชนแล้ว ซึ่งก็ตกลงกันได้ด้วยดี กระนั้นผู้เขียนก็ไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย
ประการแรก พลเอกประยุทธ์ได้รับการทาบทามให้มารับหน้าที่ “นายกฯชั่วคราว” นี้แล้วหรือไม่ แล้วท่านได้ยอมรับที่จะ “เข้าโปรแกรม” ตามแบบนี้หรือหรือยัง ซึ่งมีข่าวว่าท่านอาจจะเคย “ทำดี” กับนายใหญ่มาในครั้งที่กลับเข้ามาเหยียบดินแดนไทยเมื่อปีก่อน แต่ในเวลาที่ผ่านมา นายใหญ่ทำตัวไม่เป็นไปตามดีลที่ตกลงกันไว้ “ผู้ใหญ่” หลายคนก็อึดอัด ทำให้ในระยะหลัง “ความสัมพันธ์” น่าจะไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
ประการต่อมา ในภาพของสังคมไทยตอนนี้ พลเอกประยุทธ์น่าจะอยู่ในสถานะ “น้อง ๆ รัฐบุรุษ” คือเป็นที่เชิดชูและเคารพค่อนข้างสูง แม้ว่าในกลุ่มอนุรักษ์จะมีกระแสเรียกร้องอยากให้ “ลุงตู่คัมแบ็ก” ค่อนข้างมาก แต่ก็เพื่อแก้ไขปัญหาของการเมืองไทยที่มันเละตุ้มเป๊ะภายหลังที่ท่านพ้นตำแหน่งไปแล้วนั้นให้ดีขึ้น ไม่ใช่มาร่วมหัวจมท้าย หรือ “พายเรือให้โจรนั่ง” อย่างที่พรรคเพื่อไทยและนายใหญ่คิดฝัน
อีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง นั่นก็คือถ้าพลเอกประยุทธ์ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพนี้ ก็แสดงว่าอาจจะมีผลประโยชน์อื่นอันมหาศาล หรือ “พลังในแผ่นดิน” ที่ยิ่งใหญ่พอ ที่พลเอกประยุทธ์ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่กระนั้นพลเอกประยุทธ์ก็อาจจะไม่สามารถกระทำการตามที่ “จอมบงการ” จะมาจูงจมูกได้ คงแค่นั่งรถไปกลับทำเนียบและเข้าออกสภา “ไปวัน ๆ” จนกว่าจะพ้นตำแหน่ง
ประการสุดท้าย พลเอกประยุทธ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ น่าจะถูก “ขู่เข็ญ” เอาจากคนที่ไปอ้อนวอนท่านมา เนื่องจากท่านไม่อาจจะทำตามที่จอมบงการคนนั้นต้องการได้ทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นท่านจะต้องถูกบรรดานักการเมือง “รังควาน” คือก่อความรำคาญเรียกร้องเอาผลประโยชน์ต่างๆ อยู่ทุก ๆ วัน ไม่ผิดกับนายกรัฐมนตรีในสมัยก่อน ๆ บางท่านที่มีฉายาว่า “ฤษีเลี้ยงลิง” แต่ยุคนี้ลิงที่แค่ซุกซนในสมัยก่อนนั้นได้กลายเป็น “ตัวเงินตัวทอง” ที่ทั้งชั่วร้ายและสกปรกโสโครก แล้ว “คนดี ๆ” อย่างพลเอกประยุทธ์จะทนได้หรือ ?
อีกกระแสข่าวหนึ่งที่กำลังเพิ่มความแรงมากขึ้น ๆ คือเรื่องที่นายอนุทิน ชาญวีระกูล อาจจะได้รับการรับรองจากสภาให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่นางสาวแพทองธาร ที่ฟังแล้วน่าจะเป็นไปได้ง่ายกว่ากรณีของพลเอกประยุทธ์เสียอีก เรื่องนี้นายใหญ่ไม่ค่อยพอใจนัก และดูเหมือนว่านี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการปล่อยข่าวเรื่องจะนำเอาพลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อ “ดับฝัน” ของ “ตาอยู่อนุทิน” ที่ว่ากันว่ามีแรงผลักจากฝ่ายอนุรักษ์เป็นจำนวนมาก พอ ๆ กันกับพลเอกประยุทธ์ ซึ่งในระบบการเมืองของประเทศไทยนี้ “อะไรก็เกิดขึ้นได้” แม้แต่เรื่อง “เอาผีห่ามาแทนซาตาน”
มีคนถามว่าทำไม “คนแบบทักษิณ” จึงอยู่ได้ในสังคมไทย และมีทีท่าว่ายังสามารถแผ่ขยายอิทธิพลได้อยู่เรื่อย ๆ คำตอบอยู่บนบรรทัดแรกของบทความวันนี้ คือ “คนไทยไม่จดไม่จำ” นั่นเอง
ยกตัวอย่างเรื่องการตัดสินความของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ พ.ศ. 2544 นั้น จะมีสักกี่คนที่จำได้ว่าทักษิณรอดมาได้อย่างไร แน่นอนว่าหลายคนจำได้ว่า ทักษิณพูดว่าเขาบกพร่องโดยสุจริต แต่ต่อจากนั้นที่เขาได้ดำเนินนโยบาย “อภิมหาโปรเจกต์ต่าง ๆ” ได้ก่อความเสียหายให้ประเทศอย่างไร ทำไม คมช.จึงทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมถึงที่ คสช.ได้ทำรัฐประการน้องสาวของนายทักษิณในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้นด้วย
ขณะที่ท่านได้อ่านบทความนี้ คงจะทราบผลแล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำตัดสินนางสาวแพทองธารว่าอย่างไร จะสามารถหยุด “ความเลวร้ายของระบอบทักษิณ” ที่เป็นมากว่า 20 ปีนั้นได้หรือไม่ แล้วก็ขอให้เราจดจำในการตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ให้ดี ๆ
“ความจำ” คือสิ่งที่สร้างประวัติศาสตร์ เราไม่ได้จำแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ควรจำใน “สิ่งที่ไม่ดี” กับ “คนที่ไม่ดี” เหล่านั้นด้วย !