ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรม
แม้จะมีหลายฝ่ายสะใจกับการพ้นตำแหน่งของนางสาวแพทองธาร แต่ในอีกมุมหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าขันและน่าสมเพชในคราวเดียวกัน เมื่อปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ตรงกับคำประกาศล่วงหน้าของสมเด็จฮุนเซน ที่ระบุว่า “ไทยจะเปลี่ยนนายกฯ คนใหม่ ภายใน 3 เดือน”
ผู้นำไทยพ่ายแพ้ “กุศโลบาย” ของกัมพูชา ส่วนจะเป็นทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ เมื่อมีคำกล่าวว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ก็จะต้องมีเหตุการณ์ที่ “ทหารขาขาด”
ประเด็นที่น่าจับตาคือ นับจากนี้ในปัญหาความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชาจะเดินไปในทิศทางใดภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเป็นรัฐบาลผสม โดยหากเป็นรัฐบาลที่แกนนำพรรคยังคงเป็นพรรคเพื่อไทย ที่ผลักดันนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนากรัฐมนตรี แม้จะพยายามสื่อสารว่าไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบงำของ นายทักษิณก็ตาม
ขณะที่หากเป็นรัฐบาลผสมของอีกขั้วหนึ่ง คือพรรคภูมิใจไทย จะเปลี่ยนแปลงบริบทของการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้เป็นไปในทิศทางใด จากความคาดหวังของขั้วอนุรักษ์ ที่ต้องการให้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาในแนวทางชาตินิยม
เนื่องจาก พรรคการเมืองหรือกลุ่มที่มีแนวคิดชาตินิยมรุนแรงมักใช้ประเด็นชายแดนเพื่อสร้างคะแนนนิยม ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรง
ทั้งนี้ บทบาทของกองทัพ กองทัพของทั้งสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน แต่ในบางสถานการณ์ กองทัพก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาชายแดนต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย การเจรจาทางการทูตอย่างต่อเนื่อง การพูดคุยและการเจรจาเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธีการจัดการร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน การตกลงร่วมกันในการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน ทั้งทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวและการส่งเสริมความร่วมมือระดับประชาชน การสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนจะช่วยลดความตึงเครียดได้ในระยะยาว