รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
เมื่อย้อนมอง “คณะ” หรือ “Faculty” ในมหาวิทยาลัยไทย ต่างก็คงคุ้นชินกับภาพหน่วยงานที่มีหน้าที่เปิดสอนหลักสูตร ดูแลนักศึกษา ทำวิจัย และผลิตบัณฑิตสู่สังคม แต่โลกสมัยใหม่ไม่ได้หยุดรอคณะหรือมหาวิทยาลัย เพราะการมาถึงของผู้เรียนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Gen Alpha ทำให้โจทย์การบริหารจัดการคณะไม่ได้อยู่แค่การจัดตารางสอนหรือบริหารงานบุคลากร แต่คือ
การจัดการการอยู่รอดท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทุกเสี้ยววินาที
คณะเปรียบเสมือน “องค์กรขนาดเล็ก” ในมหาวิทยาลัยที่มีภารกิจครบวงจร ตั้งแต่วางแผนยุทธศาสตร์ ผลิตบัณฑิต บริหารงบประมาณ ไปจนถึงการสร้างชื่อเสียงแข่งขันกับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถ้าคณะที่ไม่สามารถขยับตัวให้เท่าทันสังคม เท่ากับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และท้ายที่สุดอาจถูกลดบทบาทจนเหลือเพียง “หน่วยงานธุรการ” มากกว่าหน่วยทางวิชาการ
ผู้เรียนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการเพียงปริญญา แต่ต้องการ “ประสบการณ์การเรียนรู้” ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง ต้องการเทคโนโลยีที่ทันสมัย เรียนรู้แบบยืดหยุ่น ปรับได้ตามความสนใจ และยังใส่ใจเรื่องความหลากหลาย ความยุติธรรม และความหมายของการเรียนรู้ คณะในมหาวิทยาลัยต้องปรับตัวจากการเป็น “ผู้จัดการหลักสูตร” ไปสู่การเป็น “ผู้จัดการประสบการณ์” (Experience Manager) และส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Hybrid และ Micro-credentials หรือการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนรู้ในรูปแบบที่ปรับแต่งได้ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ อย่างไรก็ตามบางคณะของมหาวิทยาลัยก็ยังติดกับดักการสอนในห้องเรียนแบบเดิม ๆ
ตัวอย่างในต่างประเทศ กรณีศึกษาคณะครุศาสตร์ในประเทศมหาอำนาจด้านการศึกษา จะพบภาพการปรับตัวที่น่าสนใจเรียกว่า “ขยับตัวอย่างมียุทธศาสตร์” อาทิ
สหรัฐอเมริกา คณะครุศาสตร์ต้องผ่านมาตรฐานรับรอง เช่น CAEP หรือ Council for the Accreditation of Educator Preparation ที่เข้มงวด บัณฑิตครูทุกคนต้องรู้ทั้งด้านทฤษฎี ภาคสนาม และมาตรฐานวิชาชีพ นอกจากนี้คณะครุศาสตร์หลายแห่งก็เปิด Career Center เพื่อเตรียมพร้อมและดูแลเส้นทางอาชีพของนักศึกษา
อังกฤษ ระบบ PGCE หรือ Postgraduate Certificate in Education ผสมผสานการเรียนในมหาวิทยาลัยกับการฝึกสอนในโรงเรียนจริงอย่างเป็นระบบ ทำให้บัณฑิตครูเข้าใจการสอนตั้งแต่วันแรกที่ออกไปทำงาน
สิงคโปร์ National Institute of Education (NIE) เป็นสถาบันฝึกอบรมครูที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง เน้นผลิตบัณฑิตครูที่มีทั้งความรู้และความคิดเชิงวิพากษ์ (Thinking Teachers) พร้อมเชื่อมโยงการสอนกับโลกจริง
หากมองกลับมาที่คณะครุศาสตร์ในไทย ปัญหาคือ ความล่าช้าในการปรับตัว หลักสูตรบางแห่งยังสอนแบบที่ใช้เมื่อสิบปีก่อน อาจารย์จำนวนไม่น้อยยังติดกับการบรรยายแบบเดิม ขณะที่ผู้เรียนรุ่นใหม่ไม่พบความหมายในการเรียน คณะถูกมองว่า
“ผลิตครูไม่สอดคล้องกับโรงเรียนยุคใหม่” ยิ่งไปกว่านั้น การบริหารจัดการในหลายคณะยังเน้นงานธุรการมากกว่าการพัฒนาเชิงวิชาการ
ถ้าการเรียนการสอนวันนี้ยังใช้แนวทางสอนแบบ Pedagogy ที่ครูเป็นศูนย์กลาง คงไม่รอดในโลกใหม่ การเรียนรู้วันนี้ต้องก้าวไปสู่ Andragogy (ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง) และ Heutagogy (ผู้เรียนกำหนดเส้นทางเอง) การสอนแบบ Project-based, Problem-based หรือการใช้ AI และ Learning Analytics ต้องนำมาใช้เพื่อทำให้การเรียนรู้ตอบโจทย์ผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของ “เทรนด์” แต่คือ ความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ เพราะถ้าไม่ทำ นักศึกษาจะหนีไปเรียนกับแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่เปิดรับผู้เรียนข้ามพรมแดน
บทบาทใหม่ของอาจารย์ก็ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ถ่ายทอด” ไปสู่ “ผู้อำนวยความรู้” และ “โค้ช” ที่สามารถช่วยผู้เรียนค้นหาศักยภาพของตนเอง คณะต้องลงทุนในการพัฒนาอาจารย์อย่างจริงจัง ให้ทันกับโลกสมัยใหม่ และไม่ใช่เพียงแค่จัดอบรมเพื่อเก็บชั่วโมงวิชาชีพ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ คณะต้องเปิดพื้นที่การเรียนรู้หลากหลาย ทั้งในโรงเรียน ภาคอุตสาหกรรม และชุมชน การบ่มเพาะครูรุ่นใหม่ต้องมาพร้อมกับ Social Engagement ไม่ปิดตัวอยู่แต่ในรั้วมหาวิทยาลัยหรือคณะ แต่ “เปิด” ออกไปเชื่อมโยงกับชุมชน ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม ตลอดจนการปลูกฝัง Global Mindset ที่เรียนเพื่อเป็นพลเมืองโลกที่เข้าใจบริบทโลกและสังคมไทยเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาและพัฒนาสังคม
ผู้บริหารและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องมองว่า “คณะ” ไม่ใช่แค่ ‘หน่วยการสอน’ แต่คือองค์กรที่มีบทบาทต่ออนาคตของมหาวิทยาลัย และอนาคตของประเทศ โดยเฉพาะคณะครุศาสตร์เป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด เพราะคือแหล่งผลิตครู บุคคลที่จะไปสร้างอนาคตของชาติ ถ้าคณะครุศาสตร์ไม่ปรับเปลี่ยน ครูก็จะไม่เปลี่ยน และโรงเรียนไทยก็จะอยู่ไม่รอด
การบริหารจัดการคณะบนความท้าทายของโลกสมัยใหม่นี้ ไม่ใช่เรื่องของผู้บริหารไม่กี่คนเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงเรื่องของระบบ วัฒนธรรมองค์กร และความกล้าที่จะยอมรับว่าโลกเปลี่ยนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อทุกฝ่ายตระหนักรู้ไปในทิศทางเดียวกัน คณะจะธำรงคงอยู่อย่างมีพลังและพร้อมสร้างคน ชุมชน สังคม และประเทศต่อไปในอนาคตครับ