สถาพร ศรีสัจจัง

การตัดสินให้ “ยกฟ้อง” ของศาลสถิตยุตธรรมคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์”(ความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112)กรณีของ “ทักษิณ ชินวัตร” ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แซ่ดขึ้นในสังคมไม่น้อย(อีกครั้ง) ในทำนองว่า เห็นไหม?คนที่รวยจริงมีอำนาจจริง(ในสังคมไทย)ทำอะไรก็ไม่ผิดหรอก  หรือแม้จะทำผิดอยู่เห็นๆ(ในความคิดความรู้สึกของชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่)ก็สามารถใช้อำนาจทั้งทางการเงินและเส้นสายเชิงอำนาจที่มีอยู่ เปลี่ยนให้เป็น “ไม่ผิด” ได้

คล้ายกับสำนวนจีนที่ว่า “มีเงินมีทองจ้างผีมาโม่แป้งได้” อะไรทำนองนั้น!

หรือถ้าจะโยงเข้ามาเกี่ยวกับเรื่อง “กรรม” ที่เป็น “คติความเชื่อ” ซึ่งสังคมไทยในอดีตเชื่อกันมาตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างยาวนานว่า “คนทำกรรมดีจะต้องได้รับผลดี คนทำกรรมชั่วจะต้องได้รับผลชั่ว”

หรือทำนองที่ว่า “หว่านพืชอะไรก็จะได้ผลเช่นนั้น”

ตรงกับพุทธภาษิตในคาถาบาลี “กัลฺยาณการี กัลฺยาณํ ปาปการี จะปาปกํ” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ที่คนไทยในชั้นหลัง(โดยเฉพาะในยุคสังคมไทยจริยธรรมเสื่อมทรามอย่างปัจจุบัน) มักจะเอามาแปลงเป็นภาษิตเชิงล้อเลียนเสียดเย้ยกันอย่างกว้างขวาง

ที่ถึงขนาดเอามาผูกร้อยเป็นคำคล้องจองหรือ “กลอน” ก็มีไม่น้อย ที่เด่นมากๆ(คนจำกันได้เยอะและชอบหยิบยืมมาพูด) ก็เช่น “ทำดีได้ดีมีที่ไหน/ทำชั่วได้ดีมีถมไป…” เป็นต้น

วาทกรรมแบบนี้มีปรากฏอย่างอย่างกว้างขวางในสังคมไทยวันนี้ !

และความตกต่ำอย่างสามานย์ของบุคลากรที่แฝงตัวในรูปของสิ่งที่เรียกว่า “พระสงฆ์” ซึ่งถูกถือเป็น “ตัวแทนในการ”สืบพระศาสนา “บางพวกบางกลุ่ม (อาจไม่กี่เปอร์เซ็นต์ หรืออาจจะมากเปอร์เซ็น แต่ยังไม่มีผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงหน่วยใดหรือคนใดสามารถทำให้แจ้ง)

ก็ยิ่งทำให้ความเชื่อถือน่าเชื่อถือหรือ “ศรัทธา” ใน “พระธรรมคำสอน” ของ “พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น” ยิ่งคล้ายจะลางเลือนในศรัทธาของผู้คนมากขึ้นทุกทีๆ

แม้จะมีเรื่องของบรรดา “อลัชชี” ที่แฝงตัวเข้ามาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาในรูปแบบเนื้อหาต่างๆในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน

แต่ดูเหมือนจะไม่หนักหนาสากรรจ์เท่ากับที่มีปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างที่มีปรากฏขึ้นในปีนี้ (เพียง 8 เดือน ที่ผ่านมา) เพียงปีเดียว

จากเดือนมกราคม-สิงหาคม พ.ศ.2568 พบว่ามี “คดี” การก่อกรรมทำชั่ว ของพระสงฆ์ไทยในรูปแบบต่างๆเป็นจำนวนมาก ในหลายกรณีหลายประเด็น

แต่ทุกประเด็นล้วนสะท้อนให้เห็นชัดว่า “คนเหล่านั้น” ทั้งที่สวมรอยอยู่ในคราบของ “พระสงฆ์” ผู้สำแดงตนว่าเป็น“พุทธสาวก” ที่จะปฏิบัติหรือสืบทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ บุคคลที่เกี่ยวข้องในรูปแบบอื่นๆด้วยฐานะของ “พุทธศาสนิก”

ล้วนไม่เชื่อ ไม่มีศรัทธา หรือไม่เข้าใจเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสดา!

ใครที่ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสังคมไทยอยู่บ้าง คงจะพบว่าในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา นอกจากต้องรับรู้เรื่องความเน่าเหม็นชั่วช้าของ “นักการเมือง” ส่วนใหญ่/ความไร้คุณภาพอย่างแทบจะสิ้นเชิงในการบริหารรัฐกิจของรัฐบาล/ความตกต่ำล้าหลังในทุกด้านทางสังคมตั้งแต่ด้านเศรษญกิจ ด้านการศึกษา ด้านกฎหมาย จนถึงด้านวัฒนธรรมต่างๆแล้ว

เรื่องหนึ่งที่เห็นชัดอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด ก็คือการไม่เชื่อหรือมี “ศรัทธา” ในเรื่อง “กฎแห่งกรรม” หรือ “กฎแห่งการกระทำ” ที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ของบรรดาผู้ที่แสดงตนหรืออ้างตัวว่าเป็น “พุทธศาสนิกชน” ในสังคมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่สำคัญยิ่งก็คือ “พระสงฆ์” ผู้แสดงตนว่าจะเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา-ทั้งที่เป็นพระสังฆาธิการที่มีสมณศักดิ์สูงส่ง และ พระเล็กเณรน้อยเป็นจำนวนไม่น้อย ได้ถูกเปิดโปงโฉมหน้าอย่างล่อนจ้อน ให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ชั่วร้ายหลากรูปแบบอย่างกว้างขวาง

เป็น “คดี” ทั้งที่ผิดกฎหมายบ้านเมือง และ ผิด “พระวินัย” ร้ายแรง!

ตั้งแต่เรื่อง “กาเมสุมิจฉาฯ” จนถึงเรื่องฉ้อฉลคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน!

คงไม่ต้องยกตัวอย่าง เพราะล้วนประจักษ์กันเต็มตาเต็มหูอยู่แล้วมาตั้งแต่ต้นปี นับตั้งแต่เรื่อง “ทุรนารี” ผู้สึกพระสมณะสูงศักดิ์จำนวนมากพร้อมกันในคราเดียวอย่าง “สีกากอล์ฟ” จนถึงเรื่อง “ทิดเกรียงไกร” หรือ “เจ้าคุณอลงกต” ที่เพิ่งถูกตำรวจจับเพราะความฉ้อฉลในหลายเรื่องไปสดๆร้อนๆ!

หรือพระพุทธศาสนากำลังตกอยู่ในภาวะดังที่ “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” (ประยุทธ ปยุตฺโต) เมื่อครั้งเป็นที่ “พระพรหมคุณาภรณ์” เคยกล่าวไว้ที่ว่า :

“หากคำสอนของพระพุทธเจ้าเลือนลางหายไป แม้จะมีบุคคล กิจการ ศาสนสถาน และ ศาสนวัตถุมากมายใหญ่โตเท่าใด ก็ไม่อาจถือว่ามีพระพุทธศาสนา…”