นอกจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝังอยู่บริเวณแนวชายแดนแล้ว ข่าวว่าชุดลาดตระเวนของกองกำลังทหารไทยที่ออกปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบบริเวณแนวชายแดน ได้ตรวจพบ “กับดักไม้พันจี” ซึ่งเป็นอาวุธดัดแปลงจากยุทธวิธีในสมัยสงครามเวียดนาม
ทั้งนี้ลักษณะของกับดักดังกล่าวเป็น “หลุมพรางลึก” ภายในปักทิ่มด้วยไม้ไผ่เหลาปลายแหลมชุบสารป้องกันการเน่า หรือบางส่วนอาจชุบยาพิษ เมื่อมีผู้เหยียบหรือพลัดตกลงไป ปลายแหลมจะพุ่งเสียบร่างกาย สร้างบาดแผลรุนแรงทันที อาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้
แม้กองกำลังไทยได้เข้าทำลายและเก็บกู้กับดักดังกล่าว พร้อมเสริมกำลังลาดตระเวนในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย รวมถึงเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยให้แก่กำลังพลและประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน
แม้ทหารไทยจะไม่พ่ายศึกทางทหารที่ชายแดน แต่ในเชิงการเมืองภายในประเทศนั้น ดูเหมือนว่า เราจะตก “หลุมพรางลึก” ของกัมพูชา หรือสมเด็จฮุนเซนไปเต็มๆ
ย้อนไปพิจารณาแถลงการณ์ของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) หรือ "Team Thailand" เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และการรับมือของรัฐบาล แถลงการณ์ระบุถึงสถานการณ์ที่เปราะบางและท้าทายตามแนวชายแดน รวมถึงการจัดตั้ง ศบ.ทก. ขึ้นเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
โดยเน้นย้ำถึงเหตุการณ์สำคัญเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีการเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำระดับสูงของไทยและกัมพูชา ซึ่ง พล.อ. ณัฐพล มองว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาหวังผลร้ายและเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ซับซ้อนจากฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และเรียกว่าเป็นการ "ยิงกระสุนนัดเดียวเพื่อหวังจะได้นกทั้งรัง"
แถลงการณ์ดังกล่าวยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ โดยยึดหลัก "รอบคอบ รอบด้าน ใช้สติ สร้างสันติ" และให้ทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี โดยไม่หวั่นไหวต่อการยั่วยุ หรือปล่อยให้ความแตกแยกทางความคิดมาบั่นทอนความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ
อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่า กระสุนจากสมเด็จฮุนเซน ไม่เพียงทำลายอำนาจของขั้วอำนาจการเมืองในปัจจุบัน หากแต่ได้ทำลายอำนาจของตนเอง และทำลายชีวิตของผู้บริสุทธิ์ของสองชาติอย่างอำมหิต ส่วนการเมืองภายในประเทศไทยก็ต้องว่ากันไปตามเนื้อผ้า ในสภาวะการณ์ที่ประชาชนเชื่อมั่นทหารมากกว่าการเมือง