เสรี พงศ์พิศ

FB Seri Phongphit

เมื่อ 31 ปีก่อน ผมพาผู้นำกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี 8-9 คนจากภาคเหนือไป “ศึกษาดูงาน” ทางภาคกลาง เราแวะที่วัดพระบาทน้ำพุ ที่ศูนย์ผู้ป่วยเอดส์ที่พระอาจารย์อลงกตก่อตั้งและดูแล

พระฉายสไลด์เกี่ยวกับศูนย์เหมือนที่ฉายให้คนที่ไปเยี่ยมและเวลาไปบรรยายในที่ต่างๆ ผมเห็นผู้ติดเชื้อหลายคนก้มหน้าก้มตา ไม่มองจอสไลด์ บางคนเช็ดน้ำตา ผมมาทราบภายหลังว่า พวกเขา “รับไม่ได้” กับการนำภาพที่ “น่าเกลียดน่ากลัว” ขนาดนั้นมาฉาย ไม่ใช่เพื่อความ “เข้าใจ” แต่เพื่อความ “สมเพชสงสาร”

ผมรีบนำคณะเดินทางไปกรุงเทพฯ แล้วไปพัทยา ไปดูงานจิตอาสาช่วยเหลือหญิงบริการและผู้ติดเชื้อ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กัน เป็นรายการที่ดี ที่ทำให้ทุกคนกินข้าวลำ (อร่อย) หลังจากนั้น

ที่ร้านอาหารริมทะเล ผมให้พวกเขาช่วยกันสั่งอาหารที่ทานได้ “ไม่ก๋ำกิ๋น” (ภาษาเหนือแปลว่า “คะลำ”  ในภาษาอีสาน “ควรงดเว้น” ในภาษากลาง) คนหนึ่งบอกว่า “ขอต้มยำปลาหลิม” คนเสิร์ฟบอกว่า ไม่มี คนสั่งจึงชี้ไปที่เมนู  คนบริการร้อง “อ้อ ต้มยำปลาช่อน ได้ครับ” ทุกคนเฮ !

เป็นความสุขเล็กๆ ที่ผมพาผู้นำผู้ติดเชื้อที่ทำงานเพื่อสังคม ทั้งเพื่อคนป่วยและไม่ป่วยไปดูงานแบบ “เที่ยวต่างถิ่นไกล” ที่ส่วนใหญ่ยังไม่เคยเห็นทะเล ได้ประโยชน์ด้านการแบ่งปันเรื่องโรคเอดส์กับองค์กรต่างๆ

ผมขึ้นไปเชียงใหม่เมื่อปี 2536 เป็นผู้อำนวยการโครงการไทยออสเตรเลียป้องกันเอดส์ภาคเหนือ ที่รัฐบาลออสเตรเลียให้งบประมาณรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ สถานทูตออสเตรเลียเลือกผม ไม่ใช่เพราะผมรู้เรื่องเอดส์ดีกว่าหมอ แต่เพราะผมรู้เรื่องชุมชน ที่เขาบอกว่า ชุมชนเข้มแข็งจะป้องกันและรักษาโรคเอดส์ได้ โดยเขายกตัวอย่างออสเตรเลียว่า ทำอย่างไรจึงควบคุมการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้

ในปี 2536 มีผู้ติดเชื้อในบ้านเราประมาณ 7-8 แสนคน ครึ่งหนึ่งอยู่ในภาคเหนือ เริ่มระบาดเป็นระเบิดเมื่อปี 2531 ที่มีการปล่อยคนออกจากคุกหลายหมื่นคน จำนวนมากติดเชื้อในคุกและนำไปแพร่ต่ออย่างรวดเร็ว เพราะได้สั่งสมมาตั้งแต่ปี 2527 ปีแรกที่พบผู้ติดเชื้อ แต่รัฐบาล “เหยียบไว้” กลัวกระทบการท่องเที่ยว

ผมสนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อรวมกลุ่มกัน กลุ่มแรกชื่อว่า “เพื่อนชีวิตใหม่” ที่กลายเป็นแกนนำ ทำให้เกิดกลุ่มต่างๆ ทั่วเชียงใหม่ ภาคเหนือ และทั่วประเทศในเวลาต่อมากกว่า 600 กลุ่ม

ยุคแรกนั้น ทั้งรัฐและสังคมยังเป็นงงมากว่าจะจัดการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องใหม่ มีลองผิดลองถูก การรณรงค์ที่สร้างความกลัวมากกว่าการช่วยเหลือ (scare vs care) เอดส์เป็นแล้วตาย มีรูปหัวกะโหลกกระดูกไขว้ไปทั่ว ทำให้ผู้ติดเชื้อถูกรังเกียจและหลบ “ลงใต้ดิน” ยิ่งทำให้การแพร่ระบาดไปเร็ว ควบคุมไม่ได้

ความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคเอดส์แทบเป็นศูนย์ ข่าวลือปลอมเต็มไปหมด ชาวบ้านเคยกินใช้น้ำฝนก็เลิก เพราะกลัวว่า ฝุ่นเถ้าปลิวจากวัดที่เผาศพคนเป็นเอดส์มาตกลงหลังคาจะทำให้ติดเอดส์ กลัวยุงกัดจะติดเอดส์

ผู้ติดเชื้อเล่าว่า พวกเขาไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ไหน ถ้ารู้ว่าติดเชื้อเขาก็มักไม่อยากขาย หรือขายให้ทั้งถ้วยชามและแก้วน้ำ จนมีคนเสนอให้เอาผู้ติดเชื้อคนเป็นเอดส์ไปปล่อยเกาะ

ขณะที่ผู้ติดเชื้อเป็นเอดส์ล้มตายจำนวนมาก จนชาวบ้านเปรียบเปรยว่า “เพี้ยงหูบ” เหมือนเพลี้ยลง ข้าวในนาตายหมด

ผมกับหมอที่รักษาผู้ป่วยเอดส์เห็นว่า ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่ได้ด้วยเอชไอวี แต่เพราะสิ้นหวัง ไม่อยากอยู่ เพราะถูกรังเกียจ ถูดทอดทิ้ง เคยมีเพื่อนก็ไม่มีอีก เคยมีพ่อแม่พี่น้องเขาก็ไล่ไปอยู่ปลายสวนปลายนา แล้วจะอยู่ไปทำไมในโลกที่โหดร้ายนี้อย่างเดียวดาย

“คือความบัดซบของชีวิต” ผมเขียนในบทความ “จากห้วงลึกของความไร้เหตุผล” (From Abyss of Absurdity) ในมติชนสุดสัปดาห์ต่อจากบทความที่ผมได้ขอให้ผู้นำกลุ่มผู้ติดเชื้อเขียน ผมปรับปรุงแล้วส่งไปลงมติชนสุดสัปดาห์ นำมารวมเล่ม หน่วยงานจัดพิมพ์ 5,000 เล่ม ร้านหนังสือสุริวงศ์ที่เชียงใหม่ช่วยขายโดยไม่หักค่าวาง และกลุ่มผู้ติดเชื้อแจกคนไปเยี่ยมที่ศูนย์ ซึ่งบริจาคเงินเข้ากองทุนยาของพวกเขาได้กว่า 500,000 บาท

หนังสือ “บันทึกเพื่อนชีวิตใหม่” บทนำชื่อ “เอดส์กับการอภิวัฒน์มนุษยชาติ” โดยคุณหมอประเวศ วะสี เป็นข้อเขียนขนาดยาวที่ท่านบอกว่าตั้งใจเขียนและใช้เวลานาน

หนังสือเล่มนี้ กระทรวงศึกษาธิการขอนำไปพิมพ์เผยแพร่ 2 ครั้ง เพื่อแจกห้องสมุดโรงเรียนทั่วประเทศ โดยขอให้ผมลด “โทน” การวิจารณ์รัฐบาลลง ซึ่งผมก็ยอม เพื่อให้หนังสือได้เผยแพร่ไปทั่ว หนังสือที่บุคลาการสาธารณสุขหลายคนบอกว่า ได้เปลี่ยนทัศนคติของคนไทยเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อและโรคเอดส์

ผู้นำผู้ติดเชื้อรุ่นแรกหลายคนยังมีชีวิตอยู่ แข็งแรง ทำงานเหมือนคนปกติทั่วไป พวกเขาได้ช่วยกันรณรงค์เพื่อให้ “เข้าถึงยา” และได้ผลดีไม่น้อย เมื่อบ้านเราได้ยาต้านไวรัสในราคาไม่แพง ส่วนหนึ่งผลิตได้เองเมื่อสิทธิบัตรยาหมดอายุ

วันนี้การวิจัยและพัฒนาด้านการแพทย์เกี่ยวกับโรคเอดส์ไปไกลมากแล้ว เอดส์อาจจะยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ก็ควบคุมได้ และผู้ติดเชื้อก็ยังคงมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำงานได้เหมือนคนปกติ

จึงไม่แปลกที่วันนี้มีคำถามในสังคมไทยว่า ทำไมยังมี “ศูนย์พักพิงผู้ป่วยเอดส์” อีก และเคยมีข่าวตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน (แต่ไม่แพร่หลาย) ว่า พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยที่นั่นถูกสั่งให้งดจ่ายยา และการรรณรงค์รับบริจาคยังดำเนินไปจนเกิดเป็นข่าวใหญ่ในระยะนี้ ที่เกี่ยวกับผลประโยชน์อันเนื่องมาจาก “โรคเอดส์”

คนไทยยังติดเชื้อเอชไอวีหลายแสนคน แต่ดูแลตัวเองได้ ได้ยาจากโรงพยาบาลฟรีด้วย ความใจบุญของคนไทยไม่ควรถูก “ผีเอดส์” มาหลอกเอา